......เทคโนโลยี หมาย ถึง กระบวนการหรือวิธีการในการนำความรู้เรื่องแนวคิดมาประยุกต์องค์ประกอบหรือ องค์ความรู้ต่างๆ มาใช้อย่างเป็นระบบเพื่อให้การดำเนินงานในวงการต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
......ลักษณะของเทคโนโลยี สามารถจำแนกออกได้ 3 ลักษณะ
......1. เทคโนโลยีในลักษณะกระบวนการ (process) เป็นการใช้วิทยาศาสตร์และความรู้ต่างๆที่รวบรวมไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่ผลในการปฏิบัติ
......2. เทคโนโลยีในลักษณะของผลผลิต (product) หมายถึง วัสดุหรืออุปกรณ์ที่เป็นผลมาจากการใช้การะบวนการทางเทคโนโลยี
......3. เทคโนโลยีในลักษณะผสมของกระบวนการและผลผลิต (process and product) เช่น เทคโนโลยีช่วยให้ระบบการรับส่งข้อมูลเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว เป็นผลมาจากความก้าวหน้าของอุปกรณ์เพื่อการรับส่งข้อมูล
หลักการใช้เทคโนโลยี
......1. ประสิทธิภาพของงาน (efficiency) เทคโนโลยีต้องช่วยให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายและรวดเร็ว สามารถตรวจสอบได้
......2. ประสิทธิผล (productivity) ต้องช่วยให้การทำงานได้ผลออกมาอย่างเต็มที่
......3. ประหยัด (economy) ทั้งเวลาและแรงงาน ลงทุนน้อยแต่ได้ผลมากกว่าทุน
เทคโนโลยีกับงานสาขาต่างๆ
ทางการทหาร หมาย ถึง กระบวนการ วิธีการนำเอาความรู้ แนวคิด หรือผลิตกรรมทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ มาประยุกต์ใช้อย่างเป็นระบบ เพื่อให้การดำเนินงานทางการทหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ทางการแพทย์ หมาย ถึง กระบวนการ วิธีการนำเอาความรู้ แนวคิด หรือผลิตกรรมทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ มาประยุกต์ใช้อย่างเป็นระบบ เพื่อให้การดำเนินงานทางการแพทย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ความหมายของเทคโนโลยีการศึกษา
เทคโนโลยีการศึกษา หมาย ถึง การประยุกต์ใช้สหวิทยาอย่างเป็นระบบเพื่อให้ได้แนวคิด เครื่องมือ เทคนิคและวิธีกาต่างๆ เพื่อนำไปใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และพัฒนาการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพตามจุดมุ่งหมาย
ความสำคัญของเทคโนโลยีการศึกษา
......1. สามารถทำให้มีการเรียนการสอน การศึกษามีความหมายมากขึ้น ผู้เรียนเรียนได้กว้างขวางมากขึ้น เรียนได้เร็วขึ้น เข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ครูมีเวลาให้แก่นักเรียนมากขึ้น
......2. สามารถสนองเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ ผู้เรียนมีอิสระในการเรียนรู้ มีความรับผิดชอบ
......3. สามารถทำให้การจัดการศึกษาตั้งอยู่บนรากฐานของวิธีทางวิทยาศาสตร์ ค้นพบวิธีใหม่ๆ และสมเหตุสมผลตามความเปลี่ยนแปลงของสังคม
......4. ช่วยให้การศึกษามีพลังมากขึ้น
......5. ทำให้การเรียนรู้อยู่แค่เอื้อม
......6. ทำให้เกิดความเสมอภาคทางการศึกษา
พระราชบัญญัติเกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
มาตรา 63 รัฐต้องจัดสรรคลื่นความถี่ สื่อตัวนำและโครงสร้างพื้นฐานอื่นที่จำเป็นต่อการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ วิทยุโทรคมนาคม และการสื่อสารในรูปแบบอื่น เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับการศึกษาในระบบ
มาตรา 64 รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนจัดให้มีแบบเรียน ตำรา วัสดุอุปกรณ์ เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาอื่นอย่างเร่งรัด พัฒนาขีดความสามารถในการผลิต มีเงินสนับสนุน เปิดให้มีการแข่งขันโดยเสรีภาพและเป็นธรรม
มาตรา 65 ให้มีการพัฒนาบุคลากรและผู้ใช้เทคโนโลยี เพื่อให้มีความรู้ความสามารถและทักษะการผลิต รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม มีคุณภาพและประสิทธิภาพ
มาตรา 66 ผู้เรียนมีสิทธิได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในโอกาสแรกที่ทำได้ เพื่อแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
มาตรา 67 รัฐต้องส่งเสริมการวิจัยและการพัฒนาการผลิตและเทคโนโลยี รวมทั้งการติดตาม การตรวจสอบ และประเมินผล เพื่อให้เกิดการใช้อย่างคุ้มค่า เหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทย
มาตรา 68 ให้มีการระดมทุนเพื่อจัดตั้งกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
มาตรา 69 รัฐต้องจัดให้มีหน่วยงานกลาง ทำหน้าที่พิจารณาเสนอนโยบายแผนส่งเสริมและประสานการวิจัยการพัฒนาและการใช้ รวมทั้งการประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพของการผลิต และการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
เทคโนโลยีการสอน
......คือ ภาพของการแสวงหาแนวทางและวิธีปฏิบัติ เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทัศนะเกี่ยวกับเทคโนโลยีการศึกษาและเทคโนโลยีการสอน
......1. ทางวิทยาศาสตร์กายภาพ มุ่งเน้นวัสดุอุปกรณ์ หรือผลผลิตทางวิศวกรรมเป็นสำคัญ
......2. ทางพฤติกรรมศาสตร์ มุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมเป็นสำคัญ
นวัตกรรม
......นวัตกรรม หมายถึง ความคิดหรือการกระทำใหม่ๆ ที่นำมาใช้ในการแก่ปัญหาหรือปรับปรุงงานให้ได้ผลดียิ่งขึ้น
นวัตกรรมการศึกษา หมาย ถึง ความคิดหรือวิธีการปฏิบัติใหม่ๆ ที่ได้ผ่านการพิสูจน์ ทดลอง จนเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือได้ นำมาใช้ส่งเสริม ปรับปรุงระบบทางการศึกษาให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อสังเกตเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นนวัตกรรม
......1. เป็นความคิดหรือการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อจะนำมาปรับปรุงงานเดิมให้ดีขึ้น
......2. ความคิดหรือการกระทำนั้นมีการพิสูจน์ด้วยการวิจัยทดลอง นำมาใช้แล้วสามารถแก้ปัญหาได้
......3. มีการนำวิธีระบบมาใช้อย่างชัดเจน
......4. ความคิดหรือการกระทำใหม่ๆ
ขั้นตอนการเกิดนวัตกรรม
......การ นำวิธีการใหม่ๆมาปฏิบัติหลังจากได้ผ่านการทดลอง หรือได้รับการพัฒนาการเป็นขั้นๆแล้ว โดยเริ่มมาตั้งแต่การคิดค้นและการพัฒนา ซึ่งอาจเป็นไปในรูปแบบของโครงการทดลองปฏิบัติมาก่อนแล้ว จึงนำมาปฏิบัติจริง ซึ่งมีความแตกต่างจากการปฏิบัติเดิม
ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีและนวัตกรรม
นวัตกรรมและเทคโนโลยีมีความหมายอย่างเดียวกันคือ ทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ขอบเขตของเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา
......1. หน้าที่ในการจัดการศึกษา มีจุดมุ่งหมายที่จะชี้แนวทางและพัฒนาการศึกษาและการสอนให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
......2. หน้าที่ในการพัฒนาการศึกษา เป็นการวิเคราะห์ คิดหาวิธีแก้ปัญหา การวิจัย การออกแบบ ให้แก่แหล่งการเรียนทั้งหลาย
......3. แหล่งการเรียน ที่จะนำมาทำให้การเรียนรู้ง่ายขึ้น ได้ผลตามจุดหมายของการเรียน
......4. ผู้เรียน ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยมีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนได้พัฒนาไปสู่การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
สาเหตุที่นำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการศึกษา
......1. การเพิ่มจำนวนประชากร มีผลทำให้การดำเนินชีวิตของมนุษย์และสังคมเกิดปัญหา ดังนั้นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ จะช่วยให้การศึกษาเป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึงอย่างมีประสิทธิภาพ
......2. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ จะช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสได้รับการศึกษาตลอดชีวิตสะดวกขึ้น
......3. ความก้าวหน้าทางวิทยาการใหม่ๆ การศึกษาจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงทั้งโครงสร้างและองค์ประกอบหลัก ได้แก่ หลักสูตร เนื้อหา วิธีสอน ให้เหมาะสมกับเครื่องมือหรือวิธีการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ความสำคัญของเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษาต่อการเรียนการสอน
......1. ช่วยให้ผู้เรียน เรียนรู้ได้อย่างกว้างขวางและเข้าใจถูกต้องชัดเจนยิ่งขึ้น
......2. สนองตอบเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยผู้เรียนมีอิสระในการแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง
......3. ทำให้การจัดการศึกษามีคุณภาพสูงขึ้น
......4. มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ
......5. ทำให้กระบวนการเรียนรู้ไม่เน้นเฉพาะการเรียนรู้เพียงอย่างเดียว แต่เน้นด้านจิตพิสัยและทักษะพิสัยไปด้วย
......6. ช่วยเพิ่มโอกาสทางการศึกษาแก่ประชากรมากขึ้น
แนวคิดในการใช้เทคโนโลยีการศึกษากับการศึกษาไทย
......1. คนไทยส่วนใหญ่ไม่นับถือตนเอง ผู้เรียนไม่มีโอกาสได้พูดและแสดงความคิดเห็นจึงคอยเชื่อฟังคนอื่น เมื่อนานเข้าทำให้ขาดความนับถือคนเอง
......2. คนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อม ในอดีตหลักสูตรเนื้อหาไม่เอื้อต่อผู้เรียน จึงทำให้ผู้เรียนขาดการชื่นชมธรรมชาติแวดล้อมตนเอง การจัดการศึกษาส่งเสริมให้เขาได้เห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อมดียิ่งขึ้น
......3. คนไทยส่วนใหญ่ขาดลักษณะที่พึงประสงค์
บทที่ 2 วิธีระบบ
.....วิธีระบบ เป็น วิธีการรวมหน่วยย่อยๆ ซึ่งเป็นอิสระจากกันให้มีความสัมพันธ์กัน โดยการจัดระเบียบอย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
ความสำคัญของวิธีระบบ
.....วิธี ระบบกลายเป็นแกนแนวคิดเทคโนโลยีการศึกษาทางพฤติกรรมศาสตร์ และกลายเป็นคำหลักของเทคโนโลยีการศึกษา การฝึกอบรมและการให้การศึกษา เน้นไปที่ผู้ออกแบบและจัดโปรแกรมควบคู่ไปกับการผลิตช่างเทคนิค เพื่อให้ได้นักเทคโนโลยีการศึกษาที่มองภาพการใช้เทคโนโลยีการศึกษาที่มีระบบ และมองภาพกว้างขวางขึ้น
องค์ประกอบของระบบ
.....1. ข้อมูลป้อนเข้า(input) ได้แก่ วัตถุดิบ ข้อมูลดิบ ปัญหาความต้องการวัตถุประสงค์ ข้อกำหนดกฎเกณฑ์
.....2. กระบวนการ(process) ได้แก่ วิธีการปฏิบัติงานอย่างเป็นขั้นตอน
.....3. ผลลัพธ์ (output) ได้แก่ ผลงานที่ได้จากการป้อนข้อมูลและกระบวนการเพื่อที่จะนำไปประเมินผล
.....4. ข้อมูลย้อนกลับ(feedback) ผลการประเมินการทำงานของระบบ ซึ่งประเมินย้อนกลับได้ทุกขั้นตอน
ขั้นตอนการจัดระบบ
.....1. ขั้นวิเคราะห์ระบบ(system analysis) แบ่งออกเป็น 4 หน่วยย่อย
1.1 วิเคราะห์แนวทางการปฏิบัติ เป็นการพิจารณาทิศทางที่จะดำเนินการและจุดมุ่งหมายของระบบ เพื่อบรรลุตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ 1.2 วิเคราะห์หน้าที่ เป็นการกำหนดหน้าที่โดยละเอียดตามที่กำหนดไว้
1.3 วิเคราะห์งาน เป็นการกำหนดสิ่งที่ต้องการกระทำตามหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้
1.4 วิเคราะห์วิธีการและสื่อ เป็นการกำหนดหลักการปฏิบัติที่นำไปสู่จุดมุ่งหมาย
.....2. ขั้นการสังเคราะห์ระบบ (system synthesis)
2.1 เลือกวิธีหรือกลวิธีเพื่อกาทางไปสู่จุดมุ่งหมาย ทดสอบกลวิธีเพื่อปรับปรุงวิธีการให้เหมาะสมกับการดำเนินงาน
2.2 การแก้ปัญหา เมื่อได้วิธีแล้วก็ใช้กลวิธีนั้น ดำเนินการแก้ปัญหา
2.3 การประเมินผลประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพื่อหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ที่ได้
.....3. ขั้นการสร้างแบบจำลอง
3.1 แบบจำลองแนวนอน
3.2 แบบจำลองแนวตั้ง
3.3 แบบจำลองแนวนอนผสมแนวตั้ง
3.4 แบบจำลองแบบวงกลมหรือวงรี
3.5 แบบจำลองกึ่งแผนภูมิกึ่งรูปภาพ
3.6 แบบจำลองเชิงคณิตศาสตร์หรือคอมพิวเตอร์
.....4. ขั้นตอนการจำลองสถานการณ์
เป็น การทดลองใช้ระบบตามแบบจำลองที่สร้างขึ้นในสภาพการณ์เลียนแบบสถานการณ์จริง เพื่อปรับปรุงหรือแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ระบบก่อนนำไปใช้จริง เนื่องจากถ้านำไปใช้ในสถานการณ์จริง อาจทำให้สิ้นเปลืองเวลา แรงงานและเงิน หรืออาจเสี่ยงต่ออันตราย
วิธีระบบกับสื่อการเรียนการสอน
.....1. การผลิตสื่อ เป็นขั้นตอนการสร้างสรรค์วัสดุอุปกรณ์หรือวิธีการให้มีคุณภาพดี ใช้งานได้เหมาะสมกับเนื้อหา วัตถุประสงค์ และลักษณะธรรมชาติของผู้เรียน
.....2. การใช้สื่อ เป็นขั้นตอนการแสดงสื่อในขณะทำการสอนให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ เรียนรู้ตามวัตถุประสงค์
การเลือกข้อมูล การใช่สื่อตามแผนที่วางไว้ การเรียนรู้ที่ต้องการ
.....-เนื้อหา -ใช้ในเวลาที่เหมาะสม -สังเกตความสนใจของผู้เรียน
.....-จุดมุ่งหมาย -ใช้อย่างคล่องแคล่ว -ประเมินผลและติดตามผล
.....-ลักษณะผู้เรียน -ใช้อย่างมั่นใจแน่นอน -การปรับปรุงแก้ไข
.....-รูปแบบการเรียน -ใช้อย่างต่อเนื่อง
.....-ประเภทสื่อการสอน -ถ้าเป็นสื่อประเภทกิจกรรมต้องให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม
.....-สภาพแวดล้อม -เมื่อใช้แล้วเก็บให้เรียบร้อยทันที
.....-ความพร้อม
.....-ครูผู้สอน
.....-ผู้เรียน
.....-สื่อการสอน
.....3. การเก็บรักษาสื่อ การเก็บรักษาสื่ออย่างเป็นระบบ จะช่วยให้การค้นหาหรือหยิบมาใช้ได้สะดวกรวดเร็วตรวจสอบได้ง่าย ประหยัดเวลา
.....-สื่อการเรียนการสอนที่เก็บรักษาอย่างเป็นระบบระเบียบอยู่ในสภาพดี สามารถนำไปใช้งานได้อย่างเป็นระบบระเบียบ
.....-ปัญหา -การวางแผนในการเก็บรักษา
.....-วัสดุ/อุปกรณ์ -การจำแนกประเภทของสื่อ
.....-ทรัพยากร -การเตรียมที่เก็บรักษา เช่น ตู้ ลิ้นชัก
.....-บุคคล ผู้ใช้ ผู้เก็บรักษา -การทำทะเบียนสื่อ
.....-ระยะเวลา -การดำเนินการเก็บรักษาสื่อ
.....-แรงงาน -การให้บริการ
.....-งบประมาณ -การเก็บรักษาตามที่จำแนกได้
.....-สถานที่
รูปแบบจำลองการผลิตและการใช้สื่อแบบ The Assure Model
.....1. วิเคราะห์ลักษณะผู้เรียน ผู้เรียนแต่ละคนมีความสามารถในการรับรู้และการเรียนรู้แตกต่างกัน การเลือกเนื้อหาบทเรียนและสื่อการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับลักษณะของผู้ เรียน จะช่วยกระตุ้นความสนใจและทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น เช่น ผู้เรียนมีทักษะในการอ่านต่ำควรใช้ประเภทรูปภาพ ภาพวิดีทัศน์ ไม่ควรเน้นสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือ
.....2. การกำหนดวัตถุประสงค์ (state objective) เป็นความต้องการที่ตั้งไว้ เพื่อเรียนรู้หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจากการใช้สื่อการเรียนการสอน เนื้อหาบทเรียนควรครอบคลุมการเรียนรู้ด้านต่างๆ ต่อไปนี้
.....2.1 ด้านความรู้ความเข้าใจ การกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การตัดสิน และการประเมินผล
.....2.2 ด้านจิตใจ การกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึกของผู้เรียน เช่น ความชอบ ความซาบซึ้ง การเห็นคุณค่า
.....2.3 ด้านทักษะหรือความชำนาญ กำหนดวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ทั้งทางด้านการใช้สมองและความรู้สึกอย่างคล่องแคล่ว
.....3. การเลือก ดัดแปลง หรือออกแบบสื่อ
.....3.1 การเลือก การเลือกสื่อการเรียนการสอนที่มีอยู่ให้เหมาะสมกับกิจกรรมการเรียนการสอน
.....3.2 การดัดแปลง การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหา วิธีสอน และลักษณะของผู้เรียน
.....3.3 การผลิต การผลิตสื่อการเรียนการสอนให้ได้ผลดีมีปัจจัยต่างๆ เช่น ลักษณะของเนื้อหาบทเรียน จุดมุ่งหมายของบทเรียน ลักษณะของผู้เรียน ค่าใช้จ่าย ความชำนาญด้านเทคนิคเฉพาะ เวลา ความพร้อมของอุปกรณ์ที่ใช่ในการผลิต
.....4. การใช้สื่อ (utilize materials) เป็นขั้นตอนการแสดงสื่อประกอบการเรียนการสอนจริง ใช้สื่อตามแผนที่เตรียมไว้ ขณะใช้สื่อต้องหันหน้าเข้าหาผู้เรียนเสมอ ใช้สื่ออย่างต่อเนื่องและคล่องแคล่ว
.....5. การกำหนดการตอบสนองของผู้เรียน (require learner response) กระบวนการเรียนการสอนที่ทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดี ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนตอบสนองต่อสื่อและเนื้อหาบทเรียน เช่น ก่อนให้ผู้เรียนชมภาพยนตร์ ครูผู้สอนควรเล่าเค้าโครงเรื่องอย่างย่อและกำหนดปัญหาเพื่อการตอบสนองของผู้ เรียนเป็นช่วงๆ หรืออาจให้ผู้เรียนชมภาพยนตร์จนจบแล้วอภิปรายในภายหลังก็ได้
.....6. การประเมิน (evaluation)
.....6.1 การประเมินกระบวนการสอน เพื่อให้ทราบว่าการใช้สื่อการเรียนการสอนบรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใด
.....6.2 การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อให้ทราบว่าการใช้สื่อการเรียนการสอนทำให้ผู้เรียนเรียนรู้มากน้อยเพียงใด
.....6.3 การประเมินสื่อและวิธีการสอน ควรพิจารณาเกี่ยวกับคุณภาพของสื่อ ได้แก่ ความคล่องตัว ความแข็งแรง และประสิทธิภาพในการใช้งานที่สามารถดึงดูดความสนใจ และทำให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้เป็นอย่างดี
ความสำคัญของวิธีระบบ
.....วิธี ระบบกลายเป็นแกนแนวคิดเทคโนโลยีการศึกษาทางพฤติกรรมศาสตร์ และกลายเป็นคำหลักของเทคโนโลยีการศึกษา การฝึกอบรมและการให้การศึกษา เน้นไปที่ผู้ออกแบบและจัดโปรแกรมควบคู่ไปกับการผลิตช่างเทคนิค เพื่อให้ได้นักเทคโนโลยีการศึกษาที่มองภาพการใช้เทคโนโลยีการศึกษาที่มีระบบ และมองภาพกว้างขวางขึ้น
องค์ประกอบของระบบ
.....1. ข้อมูลป้อนเข้า(input) ได้แก่ วัตถุดิบ ข้อมูลดิบ ปัญหาความต้องการวัตถุประสงค์ ข้อกำหนดกฎเกณฑ์
.....2. กระบวนการ(process) ได้แก่ วิธีการปฏิบัติงานอย่างเป็นขั้นตอน
.....3. ผลลัพธ์ (output) ได้แก่ ผลงานที่ได้จากการป้อนข้อมูลและกระบวนการเพื่อที่จะนำไปประเมินผล
.....4. ข้อมูลย้อนกลับ(feedback) ผลการประเมินการทำงานของระบบ ซึ่งประเมินย้อนกลับได้ทุกขั้นตอน
ขั้นตอนการจัดระบบ
.....1. ขั้นวิเคราะห์ระบบ(system analysis) แบ่งออกเป็น 4 หน่วยย่อย
1.1 วิเคราะห์แนวทางการปฏิบัติ เป็นการพิจารณาทิศทางที่จะดำเนินการและจุดมุ่งหมายของระบบ เพื่อบรรลุตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ 1.2 วิเคราะห์หน้าที่ เป็นการกำหนดหน้าที่โดยละเอียดตามที่กำหนดไว้
1.3 วิเคราะห์งาน เป็นการกำหนดสิ่งที่ต้องการกระทำตามหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้
1.4 วิเคราะห์วิธีการและสื่อ เป็นการกำหนดหลักการปฏิบัติที่นำไปสู่จุดมุ่งหมาย
.....2. ขั้นการสังเคราะห์ระบบ (system synthesis)
2.1 เลือกวิธีหรือกลวิธีเพื่อกาทางไปสู่จุดมุ่งหมาย ทดสอบกลวิธีเพื่อปรับปรุงวิธีการให้เหมาะสมกับการดำเนินงาน
2.2 การแก้ปัญหา เมื่อได้วิธีแล้วก็ใช้กลวิธีนั้น ดำเนินการแก้ปัญหา
2.3 การประเมินผลประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพื่อหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ที่ได้
.....3. ขั้นการสร้างแบบจำลอง
3.1 แบบจำลองแนวนอน
3.2 แบบจำลองแนวตั้ง
3.3 แบบจำลองแนวนอนผสมแนวตั้ง
3.4 แบบจำลองแบบวงกลมหรือวงรี
3.5 แบบจำลองกึ่งแผนภูมิกึ่งรูปภาพ
3.6 แบบจำลองเชิงคณิตศาสตร์หรือคอมพิวเตอร์
.....4. ขั้นตอนการจำลองสถานการณ์
เป็น การทดลองใช้ระบบตามแบบจำลองที่สร้างขึ้นในสภาพการณ์เลียนแบบสถานการณ์จริง เพื่อปรับปรุงหรือแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ระบบก่อนนำไปใช้จริง เนื่องจากถ้านำไปใช้ในสถานการณ์จริง อาจทำให้สิ้นเปลืองเวลา แรงงานและเงิน หรืออาจเสี่ยงต่ออันตราย
วิธีระบบกับสื่อการเรียนการสอน
.....1. การผลิตสื่อ เป็นขั้นตอนการสร้างสรรค์วัสดุอุปกรณ์หรือวิธีการให้มีคุณภาพดี ใช้งานได้เหมาะสมกับเนื้อหา วัตถุประสงค์ และลักษณะธรรมชาติของผู้เรียน
.....2. การใช้สื่อ เป็นขั้นตอนการแสดงสื่อในขณะทำการสอนให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ เรียนรู้ตามวัตถุประสงค์
การเลือกข้อมูล การใช่สื่อตามแผนที่วางไว้ การเรียนรู้ที่ต้องการ
.....-เนื้อหา -ใช้ในเวลาที่เหมาะสม -สังเกตความสนใจของผู้เรียน
.....-จุดมุ่งหมาย -ใช้อย่างคล่องแคล่ว -ประเมินผลและติดตามผล
.....-ลักษณะผู้เรียน -ใช้อย่างมั่นใจแน่นอน -การปรับปรุงแก้ไข
.....-รูปแบบการเรียน -ใช้อย่างต่อเนื่อง
.....-ประเภทสื่อการสอน -ถ้าเป็นสื่อประเภทกิจกรรมต้องให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม
.....-สภาพแวดล้อม -เมื่อใช้แล้วเก็บให้เรียบร้อยทันที
.....-ความพร้อม
.....-ครูผู้สอน
.....-ผู้เรียน
.....-สื่อการสอน
.....3. การเก็บรักษาสื่อ การเก็บรักษาสื่ออย่างเป็นระบบ จะช่วยให้การค้นหาหรือหยิบมาใช้ได้สะดวกรวดเร็วตรวจสอบได้ง่าย ประหยัดเวลา
.....-สื่อการเรียนการสอนที่เก็บรักษาอย่างเป็นระบบระเบียบอยู่ในสภาพดี สามารถนำไปใช้งานได้อย่างเป็นระบบระเบียบ
.....-ปัญหา -การวางแผนในการเก็บรักษา
.....-วัสดุ/อุปกรณ์ -การจำแนกประเภทของสื่อ
.....-ทรัพยากร -การเตรียมที่เก็บรักษา เช่น ตู้ ลิ้นชัก
.....-บุคคล ผู้ใช้ ผู้เก็บรักษา -การทำทะเบียนสื่อ
.....-ระยะเวลา -การดำเนินการเก็บรักษาสื่อ
.....-แรงงาน -การให้บริการ
.....-งบประมาณ -การเก็บรักษาตามที่จำแนกได้
.....-สถานที่
รูปแบบจำลองการผลิตและการใช้สื่อแบบ The Assure Model
.....1. วิเคราะห์ลักษณะผู้เรียน ผู้เรียนแต่ละคนมีความสามารถในการรับรู้และการเรียนรู้แตกต่างกัน การเลือกเนื้อหาบทเรียนและสื่อการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับลักษณะของผู้ เรียน จะช่วยกระตุ้นความสนใจและทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น เช่น ผู้เรียนมีทักษะในการอ่านต่ำควรใช้ประเภทรูปภาพ ภาพวิดีทัศน์ ไม่ควรเน้นสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือ
.....2. การกำหนดวัตถุประสงค์ (state objective) เป็นความต้องการที่ตั้งไว้ เพื่อเรียนรู้หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจากการใช้สื่อการเรียนการสอน เนื้อหาบทเรียนควรครอบคลุมการเรียนรู้ด้านต่างๆ ต่อไปนี้
.....2.1 ด้านความรู้ความเข้าใจ การกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การตัดสิน และการประเมินผล
.....2.2 ด้านจิตใจ การกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึกของผู้เรียน เช่น ความชอบ ความซาบซึ้ง การเห็นคุณค่า
.....2.3 ด้านทักษะหรือความชำนาญ กำหนดวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ทั้งทางด้านการใช้สมองและความรู้สึกอย่างคล่องแคล่ว
.....3. การเลือก ดัดแปลง หรือออกแบบสื่อ
.....3.1 การเลือก การเลือกสื่อการเรียนการสอนที่มีอยู่ให้เหมาะสมกับกิจกรรมการเรียนการสอน
.....3.2 การดัดแปลง การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหา วิธีสอน และลักษณะของผู้เรียน
.....3.3 การผลิต การผลิตสื่อการเรียนการสอนให้ได้ผลดีมีปัจจัยต่างๆ เช่น ลักษณะของเนื้อหาบทเรียน จุดมุ่งหมายของบทเรียน ลักษณะของผู้เรียน ค่าใช้จ่าย ความชำนาญด้านเทคนิคเฉพาะ เวลา ความพร้อมของอุปกรณ์ที่ใช่ในการผลิต
.....4. การใช้สื่อ (utilize materials) เป็นขั้นตอนการแสดงสื่อประกอบการเรียนการสอนจริง ใช้สื่อตามแผนที่เตรียมไว้ ขณะใช้สื่อต้องหันหน้าเข้าหาผู้เรียนเสมอ ใช้สื่ออย่างต่อเนื่องและคล่องแคล่ว
.....5. การกำหนดการตอบสนองของผู้เรียน (require learner response) กระบวนการเรียนการสอนที่ทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดี ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนตอบสนองต่อสื่อและเนื้อหาบทเรียน เช่น ก่อนให้ผู้เรียนชมภาพยนตร์ ครูผู้สอนควรเล่าเค้าโครงเรื่องอย่างย่อและกำหนดปัญหาเพื่อการตอบสนองของผู้ เรียนเป็นช่วงๆ หรืออาจให้ผู้เรียนชมภาพยนตร์จนจบแล้วอภิปรายในภายหลังก็ได้
.....6. การประเมิน (evaluation)
.....6.1 การประเมินกระบวนการสอน เพื่อให้ทราบว่าการใช้สื่อการเรียนการสอนบรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใด
.....6.2 การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อให้ทราบว่าการใช้สื่อการเรียนการสอนทำให้ผู้เรียนเรียนรู้มากน้อยเพียงใด
.....6.3 การประเมินสื่อและวิธีการสอน ควรพิจารณาเกี่ยวกับคุณภาพของสื่อ ได้แก่ ความคล่องตัว ความแข็งแรง และประสิทธิภาพในการใช้งานที่สามารถดึงดูดความสนใจ และทำให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้เป็นอย่างดี
บทที่ 3 กระบวนการสื่อสาร
.....การสื่อสาร
.......... หมาย ถึง กระบวนการติดต่อส่งข่าวสาร ข้อเท็จจริง ความเห็นตลอดจนท่าทีความรู้สึกต่างๆระหว่างบุคคล เจตคติ ทักษะจากผู้ส่งไปยังผู้รับด้วยการใช้ถ้อยคำ กริยา ท่าทาง หรือสัญลักษณ์ ทำให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน
องค์ประกอบและกระบวนการสื่อสาร
.....1. ผู้ส่ง แหล่งกำเนิดเนื้อหาสาระ ซึ่งอาจเป็นองค์กร บุคคลที่มีจุดมุ่งหมายจะส่งเนื้อหาสาระไปยังผู้รับ
.....2. เนื้อหาสาระ เนื้อหาสาระ เจตคติ ทักษะประสบการณ์ ซึ่งจะส่งผ่านสื่อไปยังผู้รับ
.....3. สื่อหรือช่องทาง ช่องทางต่างๆ ที่ใช้ในการส่งและรับรู้เนื้อหาสาระ ได้แก่ ตา หู ลิ้น จมูก และผิวกาย โดยอาศัยสื่อที่เหมาะสมกับช่องทาง เช่น รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส
.....4. ผู้รับ บุคคล องค์กร หรือหน่วยงานที่รับรู้เนื้อหาสาระจากแหล่งกำเนิดหรือผู้ส่ง
หน้าที่ของกระบวนการสื่อสาร
.....1.การสื่อสารในฐานะเครื่องมือให้ได้สิ่งที่ต้องการ
.....2. .การสื่อสารเพื่อสร้างความสัมพันธ์
.....3. .การสื่อสารส่วนบุคคล
.....4. .การสื่อสารเพื่อเสาะแสวงหาคำตอบ
.....6. .การสื่อสารเพื่อสร้างจินตนาการ
รูปแบบของการสื่อสาร
.....1. การจำแนกตามคุณลักษณะของการสื่อสาร
.....1.1 การสื่อสารด้วยภาษาพูด ได้แก่ การพูด อธิบาย บรรยาย การร้องเพลง เป็นต้น
.....1.2 การสื่อสารด้วยภาษาท่าทางหรือสัญญาณ เช่น กริยาท่าทาง การยิ้ม ภาษามือ เป็นต้น
.....1.3 การสื่อสารด้วยภาษาภาพ เช่นโปสเตอร์ จดหมาย ลูกศร ตรา รูปภาพ เครื่องหมาย
2. จำแนกตามปฏิสัมพันธ์ของผู้รับและผู้ส่ง
.....2.1 การสื่อสารทางตรง ผู้ส่งและผู้รับสื่อสารซึ่งกันและกันโดยตรง เนื้อหาสาระสอดคล้องกันอย่างตรงไปตรงมา เช่น การแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าในตลาดสด
.....2.2 การสื่อสารทางอ้อม เป็นการสื่อสารโดยอาศัยสื่อในการถ่ายทอดเนื้อหาสาระ เช่น การโฆษณาทางโปสเตอร์
3. จำแนกตามพฤติกรรมในการโต้ตอบ
.....3.1 การสื่อสารทางเดียว ผู้ส่งกระทำฝ่ายเดียว ผู้รับไม่สามารถตอบสนองทันทีได้ เช่น การจัดรายการวิทยุ รายการโทรทัศน์
.....3.2 การสื่อสารสองทาง ผู้ส่งและผู้รับมีการตอบโต้กันโดยอาจอยู่ในสถานที่เดียวกัน หรือถ้าห่างกันจะใช้เครื่องมือสื่อสารช่วยได้ เช่นโทรศัพท์ วิทยุมือถือ
4. จำแนกตามจำนวนของผู้ร่วมสื่อสาร
.....4.1 การสื่อสารในตนเอง เป็นทั้งผู้ส่งและผู้รับ เช่น การสำรวจความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง
.....4.2 การสื่อสารระหว่างบุคคล เป็นการสื่อสารระหว่างสองคน เช่นการสนทนา การสัมภาษณ์
.....4.3 การสื่อสารแบบกลุ่มบุคคล เป็นการสื่อสารที่มีจำนวนผู้ส่งผู้ส่งและผู้รับมากกว่าการสื่อสารระหว่าง บุคคล เช่น การเรียนการสอนในห้องเรียน กลุ่มตำรวจช่วยกันสอบสวนผู้ต้องหา
.....4.4 การสื่อสารมวลชน การสื่อสารเป็นกลุ่ม จำนวนมากมหาศาล ต้องใช้สื่อที่มีศักยภาพในการแพร่กระจายข่าวสารได้อย่างกว้างไกล เช่น วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต โปสเตอร์
อุปสรรคในการสื่อสาร
.....1. ผู้ส่งสารขาดความสามารถและความตั้งใจในการเข้ารหัส ทำให้การสื่อสารผิดพลาด
.....2. ความบกพร่องของสื่อหรือช่องทาง การเลือกสื่อที่ไม่เหมาะสมกับเนื้อหาสาระ ทำให้ประสิทธิภาพของการสื่อสารลดลง
.....3. ผู้รับสารขาดความรู้ความชำนาญในเนื้อหาสาระ
.....4. อุปสรรคจากสิ่งรบกวน
- สิ่งรบกวนภายนอก เช่น เสียงที่ดังรบกวน อากาศร้อน แสงแดด กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
- สิ่งรบกวนภายใน เช่น อารมณ์ขุ่นมัว ความเครียด ความวิตกกังวล การมีอคติทั้งผู้ส่งและผู้รับ
.....5. สารหรือเนื้อหาสาระมีความยาวไม่เหมาะสมหรือสั้นเกินไป เนื้อหาขัดกับความเชื่อเดิม
.....6. ผู้ส่งและผู้รับมีความแตกต่างในด้านภาษา วัฒนธรรมและสังคม
การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
.....การ สื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูง เกิดจากการสื่อสารโดยตรงแบบเผชิญหน้า เป็นการสื่อสารแบบสองทาง ผู้ส่งและผู้รับสามารถโต้ตอบกันได้ทันทีทันใด เนื้อหาสาระต้องเหมาะสมกับผู้รับ
การสื่อสารกับการรับรู้และเรียนรู้
.....การรับรู้ เป็น กระบวนการตีความหรือแปลความต่อสิ่งเร้าที่ผ่านอวัยวะรับสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย จากนั้นส่งไปยังสมอง สมองเป็นคลังข้อมูลขนาดมหาศาล เมื่อสมองตีความได้ก็จะนำข้อมูลไปเก็บในคลังสมอง ทำให้เกิดความคิดรวบยอด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติ กรรมเดิมไปสู่พฤติกรรมใหม่ที่ค่อนข้างถาวร เรียกว่า การเรียนรู้
แบบจำลองของการสื่อสาร
.....1. แบบจำลองของลาสเวลล์
.....- ใคร
.....- พูดอะไร
.....- โดยช่องทางใด
.....- ไปยังใคร
.....- ได้ผลอย่างไร
.....2. แบบจำลองของแชนนอนและวีเวอร์
.....- แหล่งข้อมูล
.....- ตัวถ่ายทอด
.....- ช่องทาง
.....- ผู้รับ
.....- จุดหมายปลายทาง
.....- สิ่งรบกวน
3. แบบจำลองของเบอร์โล
.....- เนื้อหาสาระ
.....- ผู้ส่ง/แหล่งกำเนิด เข้ารหัส ถอดรหัส
.....- สื่อ/ช่องทาง
.....- ผู้รับ
.....- การมองเห็น
.....- การได้ยิน
.....- การสัมผัส
.....- การดมกลิ่น
.....- การชิมรส
.....- ทักษะ
.....- เจตคติ
.....- ความรู้
.....- สังคม/วัฒนธรรม
.....- องค์ประกอบ โครงสร้าง
.....- วิธีควบคุม
.....- เนื้อหา รหัส
.....- ทักษะ
.....- เจตคติ
.....- ความรู้
.....- สังคม/วัฒนธรรม
4. แบบจำลองการสื่อสารของบาร์นลันด์
.....4.1 แบบจำลองภายในบุคคล สื่อสารกับตัวเอง ประกอบด้วยบุคคล ตัวชี้นำหรือสิ่งเร้านอกตน ตัวชี้นำหรือสิ่งเร้าในตน การใส่รหัสและการถอดรหัส
สิ่งเร้านอกตน และสิ่งเร้าในตน อาจมีผลทางบวกและทางลบหรือกลางๆ ต่อบุคคลที่สื่อสารภายในตน
.....4.2 แบบจำลองการสื่อสารระหว่างบุคคล เป็นแบบจำลองที่บุคคลสื่อสารระหว่างกัน มีองค์ประกอบเหมือนกับการสื่อสารภายในตน แต่มีบุคคลที่ 2 เข้ามาเกี่ยวข้อง
การสื่อสารในการเรียนการสอน
.....1. กระบวนการสื่อสารในการเรียนการสอน
.....- ครู
.....- เนื้อหาบทเรียน
.....- ช่องทาง
.....- ผู้รับ
.....- สิ่งรบกวน
.....2. ลักษณะการสื่อสารระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียน
.....เป็น การสื่อสารเพื่อให้เกิดความรู้ คือ เป็นการถ่ายทอดความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ ตลอดจนการอบรมสั่งสอน อาจเป็นการสื่อสารแบบทางเดียวหรือสองทิศทางก็ได้ ควรมีการเน้นหรือทบทวนคำสั่งหรือข้อตกลง เพื่อให้เกิดความจำและความเข้าใจที่ถูกต้อง การสื่อสารควรมีลักษณะสร้างแรงบันดาลใจ เป็นกันเอง แสดงถึงความเอื้ออาทร และมีเจตคติที่ดีต่อกัน
.....3. การปรับใช้การสื่อสารกับกระบวนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ
ครู ที่มีการสื่อสารที่ดีจะช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างมีความหมาย มีชีวิตชีวา มีเจตคติที่ดีต่อผู้สอนและบทเรียน เรียนรู้ได้อย่างเข้าใจ
ครู ผู้สอนควรใช้สื่อการสอนสองทางให้มากที่สุด เพื่อประเมินว่าการถ่ายทอดเนื้อหาสาระไปสู่ผู้เรียนได้ผลอย่างไร ครูและผู้เรียนสามารถปรับกระบวนการสื่อสารให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์
.....4. ความล้มเหลวของการสื่อสารในกระบวนการเรียนการสอน
.....- ครูไม่บอกจุดประสงค์ในการเรียนการสอนให้ผู้เรียนทราบก่อนลงมือสอน ทำให้ผู้เรียนขาดทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจนในการเรียนรู้เนื้อหาบทเรียน นั้นๆ
.....- ครูไม่คำนึงถึงข้อจำกัดหรือขีดความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน จึงใช้วิธีสอนแบบเดียวกัน ทำให้ผู้เรียนบางคนเรียนรู้ไม่ทันเพื่อน
.....- ครูไม่สนใจที่จะจัดบรรยากาศการเรียนการสอนให้เอื้อต่อการเรียนรู้อย่างมีความหมายสำหรับผู้เรียน ไม่สร้างความพร้อมให้กับผู้เรียน
.....-ไม่หาวิธีป้องกันและขจัดปัญหาสิ่งรบกวนต่างๆ
.....-ครูบางคนอาจใช้ภาษาไม่เหมาะกับระดับหรือวัยของผู้เรียน
.......... หมาย ถึง กระบวนการติดต่อส่งข่าวสาร ข้อเท็จจริง ความเห็นตลอดจนท่าทีความรู้สึกต่างๆระหว่างบุคคล เจตคติ ทักษะจากผู้ส่งไปยังผู้รับด้วยการใช้ถ้อยคำ กริยา ท่าทาง หรือสัญลักษณ์ ทำให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน
องค์ประกอบและกระบวนการสื่อสาร
.....1. ผู้ส่ง แหล่งกำเนิดเนื้อหาสาระ ซึ่งอาจเป็นองค์กร บุคคลที่มีจุดมุ่งหมายจะส่งเนื้อหาสาระไปยังผู้รับ
.....2. เนื้อหาสาระ เนื้อหาสาระ เจตคติ ทักษะประสบการณ์ ซึ่งจะส่งผ่านสื่อไปยังผู้รับ
.....3. สื่อหรือช่องทาง ช่องทางต่างๆ ที่ใช้ในการส่งและรับรู้เนื้อหาสาระ ได้แก่ ตา หู ลิ้น จมูก และผิวกาย โดยอาศัยสื่อที่เหมาะสมกับช่องทาง เช่น รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส
.....4. ผู้รับ บุคคล องค์กร หรือหน่วยงานที่รับรู้เนื้อหาสาระจากแหล่งกำเนิดหรือผู้ส่ง
หน้าที่ของกระบวนการสื่อสาร
.....1.การสื่อสารในฐานะเครื่องมือให้ได้สิ่งที่ต้องการ
.....2. .การสื่อสารเพื่อสร้างความสัมพันธ์
.....3. .การสื่อสารส่วนบุคคล
.....4. .การสื่อสารเพื่อเสาะแสวงหาคำตอบ
.....6. .การสื่อสารเพื่อสร้างจินตนาการ
รูปแบบของการสื่อสาร
.....1. การจำแนกตามคุณลักษณะของการสื่อสาร
.....1.1 การสื่อสารด้วยภาษาพูด ได้แก่ การพูด อธิบาย บรรยาย การร้องเพลง เป็นต้น
.....1.2 การสื่อสารด้วยภาษาท่าทางหรือสัญญาณ เช่น กริยาท่าทาง การยิ้ม ภาษามือ เป็นต้น
.....1.3 การสื่อสารด้วยภาษาภาพ เช่นโปสเตอร์ จดหมาย ลูกศร ตรา รูปภาพ เครื่องหมาย
2. จำแนกตามปฏิสัมพันธ์ของผู้รับและผู้ส่ง
.....2.1 การสื่อสารทางตรง ผู้ส่งและผู้รับสื่อสารซึ่งกันและกันโดยตรง เนื้อหาสาระสอดคล้องกันอย่างตรงไปตรงมา เช่น การแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าในตลาดสด
.....2.2 การสื่อสารทางอ้อม เป็นการสื่อสารโดยอาศัยสื่อในการถ่ายทอดเนื้อหาสาระ เช่น การโฆษณาทางโปสเตอร์
3. จำแนกตามพฤติกรรมในการโต้ตอบ
.....3.1 การสื่อสารทางเดียว ผู้ส่งกระทำฝ่ายเดียว ผู้รับไม่สามารถตอบสนองทันทีได้ เช่น การจัดรายการวิทยุ รายการโทรทัศน์
.....3.2 การสื่อสารสองทาง ผู้ส่งและผู้รับมีการตอบโต้กันโดยอาจอยู่ในสถานที่เดียวกัน หรือถ้าห่างกันจะใช้เครื่องมือสื่อสารช่วยได้ เช่นโทรศัพท์ วิทยุมือถือ
4. จำแนกตามจำนวนของผู้ร่วมสื่อสาร
.....4.1 การสื่อสารในตนเอง เป็นทั้งผู้ส่งและผู้รับ เช่น การสำรวจความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง
.....4.2 การสื่อสารระหว่างบุคคล เป็นการสื่อสารระหว่างสองคน เช่นการสนทนา การสัมภาษณ์
.....4.3 การสื่อสารแบบกลุ่มบุคคล เป็นการสื่อสารที่มีจำนวนผู้ส่งผู้ส่งและผู้รับมากกว่าการสื่อสารระหว่าง บุคคล เช่น การเรียนการสอนในห้องเรียน กลุ่มตำรวจช่วยกันสอบสวนผู้ต้องหา
.....4.4 การสื่อสารมวลชน การสื่อสารเป็นกลุ่ม จำนวนมากมหาศาล ต้องใช้สื่อที่มีศักยภาพในการแพร่กระจายข่าวสารได้อย่างกว้างไกล เช่น วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต โปสเตอร์
อุปสรรคในการสื่อสาร
.....1. ผู้ส่งสารขาดความสามารถและความตั้งใจในการเข้ารหัส ทำให้การสื่อสารผิดพลาด
.....2. ความบกพร่องของสื่อหรือช่องทาง การเลือกสื่อที่ไม่เหมาะสมกับเนื้อหาสาระ ทำให้ประสิทธิภาพของการสื่อสารลดลง
.....3. ผู้รับสารขาดความรู้ความชำนาญในเนื้อหาสาระ
.....4. อุปสรรคจากสิ่งรบกวน
- สิ่งรบกวนภายนอก เช่น เสียงที่ดังรบกวน อากาศร้อน แสงแดด กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
- สิ่งรบกวนภายใน เช่น อารมณ์ขุ่นมัว ความเครียด ความวิตกกังวล การมีอคติทั้งผู้ส่งและผู้รับ
.....5. สารหรือเนื้อหาสาระมีความยาวไม่เหมาะสมหรือสั้นเกินไป เนื้อหาขัดกับความเชื่อเดิม
.....6. ผู้ส่งและผู้รับมีความแตกต่างในด้านภาษา วัฒนธรรมและสังคม
การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
.....การ สื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูง เกิดจากการสื่อสารโดยตรงแบบเผชิญหน้า เป็นการสื่อสารแบบสองทาง ผู้ส่งและผู้รับสามารถโต้ตอบกันได้ทันทีทันใด เนื้อหาสาระต้องเหมาะสมกับผู้รับ
การสื่อสารกับการรับรู้และเรียนรู้
.....การรับรู้ เป็น กระบวนการตีความหรือแปลความต่อสิ่งเร้าที่ผ่านอวัยวะรับสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย จากนั้นส่งไปยังสมอง สมองเป็นคลังข้อมูลขนาดมหาศาล เมื่อสมองตีความได้ก็จะนำข้อมูลไปเก็บในคลังสมอง ทำให้เกิดความคิดรวบยอด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติ กรรมเดิมไปสู่พฤติกรรมใหม่ที่ค่อนข้างถาวร เรียกว่า การเรียนรู้
แบบจำลองของการสื่อสาร
.....1. แบบจำลองของลาสเวลล์
.....- ใคร
.....- พูดอะไร
.....- โดยช่องทางใด
.....- ไปยังใคร
.....- ได้ผลอย่างไร
.....2. แบบจำลองของแชนนอนและวีเวอร์
.....- แหล่งข้อมูล
.....- ตัวถ่ายทอด
.....- ช่องทาง
.....- ผู้รับ
.....- จุดหมายปลายทาง
.....- สิ่งรบกวน
3. แบบจำลองของเบอร์โล
.....- เนื้อหาสาระ
.....- ผู้ส่ง/แหล่งกำเนิด เข้ารหัส ถอดรหัส
.....- สื่อ/ช่องทาง
.....- ผู้รับ
.....- การมองเห็น
.....- การได้ยิน
.....- การสัมผัส
.....- การดมกลิ่น
.....- การชิมรส
.....- ทักษะ
.....- เจตคติ
.....- ความรู้
.....- สังคม/วัฒนธรรม
.....- องค์ประกอบ โครงสร้าง
.....- วิธีควบคุม
.....- เนื้อหา รหัส
.....- ทักษะ
.....- เจตคติ
.....- ความรู้
.....- สังคม/วัฒนธรรม
4. แบบจำลองการสื่อสารของบาร์นลันด์
.....4.1 แบบจำลองภายในบุคคล สื่อสารกับตัวเอง ประกอบด้วยบุคคล ตัวชี้นำหรือสิ่งเร้านอกตน ตัวชี้นำหรือสิ่งเร้าในตน การใส่รหัสและการถอดรหัส
สิ่งเร้านอกตน และสิ่งเร้าในตน อาจมีผลทางบวกและทางลบหรือกลางๆ ต่อบุคคลที่สื่อสารภายในตน
.....4.2 แบบจำลองการสื่อสารระหว่างบุคคล เป็นแบบจำลองที่บุคคลสื่อสารระหว่างกัน มีองค์ประกอบเหมือนกับการสื่อสารภายในตน แต่มีบุคคลที่ 2 เข้ามาเกี่ยวข้อง
การสื่อสารในการเรียนการสอน
.....1. กระบวนการสื่อสารในการเรียนการสอน
.....- ครู
.....- เนื้อหาบทเรียน
.....- ช่องทาง
.....- ผู้รับ
.....- สิ่งรบกวน
.....2. ลักษณะการสื่อสารระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียน
.....เป็น การสื่อสารเพื่อให้เกิดความรู้ คือ เป็นการถ่ายทอดความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ ตลอดจนการอบรมสั่งสอน อาจเป็นการสื่อสารแบบทางเดียวหรือสองทิศทางก็ได้ ควรมีการเน้นหรือทบทวนคำสั่งหรือข้อตกลง เพื่อให้เกิดความจำและความเข้าใจที่ถูกต้อง การสื่อสารควรมีลักษณะสร้างแรงบันดาลใจ เป็นกันเอง แสดงถึงความเอื้ออาทร และมีเจตคติที่ดีต่อกัน
.....3. การปรับใช้การสื่อสารกับกระบวนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ
ครู ที่มีการสื่อสารที่ดีจะช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างมีความหมาย มีชีวิตชีวา มีเจตคติที่ดีต่อผู้สอนและบทเรียน เรียนรู้ได้อย่างเข้าใจ
ครู ผู้สอนควรใช้สื่อการสอนสองทางให้มากที่สุด เพื่อประเมินว่าการถ่ายทอดเนื้อหาสาระไปสู่ผู้เรียนได้ผลอย่างไร ครูและผู้เรียนสามารถปรับกระบวนการสื่อสารให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์
.....4. ความล้มเหลวของการสื่อสารในกระบวนการเรียนการสอน
.....- ครูไม่บอกจุดประสงค์ในการเรียนการสอนให้ผู้เรียนทราบก่อนลงมือสอน ทำให้ผู้เรียนขาดทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจนในการเรียนรู้เนื้อหาบทเรียน นั้นๆ
.....- ครูไม่คำนึงถึงข้อจำกัดหรือขีดความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน จึงใช้วิธีสอนแบบเดียวกัน ทำให้ผู้เรียนบางคนเรียนรู้ไม่ทันเพื่อน
.....- ครูไม่สนใจที่จะจัดบรรยากาศการเรียนการสอนให้เอื้อต่อการเรียนรู้อย่างมีความหมายสำหรับผู้เรียน ไม่สร้างความพร้อมให้กับผู้เรียน
.....-ไม่หาวิธีป้องกันและขจัดปัญหาสิ่งรบกวนต่างๆ
.....-ครูบางคนอาจใช้ภาษาไม่เหมาะกับระดับหรือวัยของผู้เรียน
บทที่ 4 สื่อการสอน
สื่อการสอน หมายถึง วัสดุอุปกรณ์หรือวิธีการใดๆ ที่ครูนำมาประกอบการเรียนการสอน เพื่อช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คุณค่าของสื่อการสอน
.......1. คุณค่าด้านวิชาการ ทำให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ทำให้เรียนรู้ได้ดีกว่า เข้าใจความหมายสิ่งต่างๆได้กว้างขวางยิ่งขึ้น
.......2. คุณค่าด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ สื่อเป็นศูนย์รวมความสนใจของผู้เรียน ทำให้การเรียนน่าสนใจมากขึ้น
.......3. คุณค่าด้านเศรษฐกิจการศึกษา ช่วยให้ผู้เรียนที่เรียนช้าเรียนได้เร็วและมากขึ้น ประหยัดเวลาในการทำความเข้าใจเนื้อหาต่างๆ
ประเภทของสื่อการสอน
.......1.จำแนกตามคุณสมบัติของสื่อ
1.1 วัสดุ เป็นสื่อเล็กหรือสื่อเบา นิยมเรียก ซอฟต์แวร์ มีทั้งวัสดุชนิดถาวรและสิ้นเปลือง เช่น แผนภูมิ ภาพถ่าย โปสเตอร์ ภาพเขียน ภาพโปร่งใส เทปเสียง
1.2 อุปกรณ์ เป็นสื่อใหญ่หรือสื่อหนัก นิยมเรียก ฮาร์ดแวร์ โดยทั่วไปประกอบด้วยเครื่องยนต์ กลไก ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ใช้เป็นตัวผ่านขยายสื่อเพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ชัดเจนขึ้น เช่น เครื่องฉายสไลด์
1.3 วิธีการ เทคนิค และกิจกรรม ครอบคลุมสื่ออื่นๆ ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนการสอนมากที่สุด เช่น การทดลอง การสาธิต บทบาทสมมุติ
.......2. จำแนกตามแบบของสื่อ
2.1 สิ่งพิมพ์ ได้แก่ หนังสือเรียน หนังสืออุเทศ หนังสืออ่านประกอบ นิตยสาร
2.2 วัสดุกราฟิก แสดงด้วยข้อความและรูปภาพ เช่น แผนภูมิ แผนภาพ โปสเตอร์ การ์ตูน
2.3 วัสดุเครื่องฉาย ได้แก่ เครื่องฉายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว เครื่องฉายภาพยนตร์ ฟิล์มภาพยนตร์
2.4 วัสดุถ่ายทอดเสียง ได้แก่ เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องบันทึกเสียง
3. จำแนกตามประสบการณ์
.......ขั้นที่ 1ประสบการณ์ตรง (เป็นรูปธรรมมากสุด)
.......ขั้นที่ 2 ประสบการณ์จำลอง
.......ขั้นที่ 3 ประสบการณ์นาฏการ เช่น การแสดงละคร บทบาทสมมุติ
.......ขั้นที่ 4 การสาธิต
.......ขั้นที่ 5 การศึกษานอกสถานที่
.......ขั้นที่ 6 นิทรรศการ
.......ขั้นที่ 7 โทรทัศน์และภาพยนตร์
.......ขั้นที่ 8 ภาพนิ่ง วิทยุและการบันทึกเสียง
.......ขั้นที่ 9 ทัศนสัญลักษณ์
.......ขั้นที่ 10 วจนสัญลักษณ์ เช่นคำอภิปราย คำบรรยาย โฆษณา (เป็นนามธรรมมากสุด)
หลักการเลือกและใช้สื่อการสอน
.......1. เลือก
- เลือกใช้สื่อตามวัตถุประสงค์ของการเรียน
- เลือกใช้สื่อตามระดับคุณค่าของสื่อ
- เลือกใช้สื่อตามขนาดของกลุ่มผู้เรียน
.......2. เตรียม
- การเตรียมครู ได้แก่ ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม บันทึกหัวข้อที่จะสอนตามลำดับ พิจารณาวัตถุประสงค์ของบทเรียน
- การเตรียมผู้เรียน ได้แก่ จัดให้ผู้เรียนนั่งให้เหมาะสมกับการใช้สื่อแต่ละประเภท อธิบายให้ผู้เรียนทราบล่วงหน้าว่าจะมีกิจกรรมอะไร ควรสังเกตอะไร
- การเตรียมชั้นเรียน ได้แก่ จัดโต๊ะเก้าอี้ของผู้เรียนเพียงพอ ให้ทุกคนสามารถมองเห็นได้ชัดเจน จัดที่ตั้งอุปกรณ์ เครื่องมือให้เป็นระเบียบ
.......3. ขั้นการใช้หรือการแสดง การนำสื่อที่เลือกและเตรียมไว้ล่วงหน้ามาใช้ประกอบการสอน
.......4. ขั้นติดตามผล เป็นการติดตามเพื่อประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพของสื่อ
คุณค่าของสื่อการสอน
.......1. คุณค่าด้านวิชาการ ทำให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ทำให้เรียนรู้ได้ดีกว่า เข้าใจความหมายสิ่งต่างๆได้กว้างขวางยิ่งขึ้น
.......2. คุณค่าด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ สื่อเป็นศูนย์รวมความสนใจของผู้เรียน ทำให้การเรียนน่าสนใจมากขึ้น
.......3. คุณค่าด้านเศรษฐกิจการศึกษา ช่วยให้ผู้เรียนที่เรียนช้าเรียนได้เร็วและมากขึ้น ประหยัดเวลาในการทำความเข้าใจเนื้อหาต่างๆ
ประเภทของสื่อการสอน
.......1.จำแนกตามคุณสมบัติของสื่อ
1.1 วัสดุ เป็นสื่อเล็กหรือสื่อเบา นิยมเรียก ซอฟต์แวร์ มีทั้งวัสดุชนิดถาวรและสิ้นเปลือง เช่น แผนภูมิ ภาพถ่าย โปสเตอร์ ภาพเขียน ภาพโปร่งใส เทปเสียง
1.2 อุปกรณ์ เป็นสื่อใหญ่หรือสื่อหนัก นิยมเรียก ฮาร์ดแวร์ โดยทั่วไปประกอบด้วยเครื่องยนต์ กลไก ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ใช้เป็นตัวผ่านขยายสื่อเพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ชัดเจนขึ้น เช่น เครื่องฉายสไลด์
1.3 วิธีการ เทคนิค และกิจกรรม ครอบคลุมสื่ออื่นๆ ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนการสอนมากที่สุด เช่น การทดลอง การสาธิต บทบาทสมมุติ
.......2. จำแนกตามแบบของสื่อ
2.1 สิ่งพิมพ์ ได้แก่ หนังสือเรียน หนังสืออุเทศ หนังสืออ่านประกอบ นิตยสาร
2.2 วัสดุกราฟิก แสดงด้วยข้อความและรูปภาพ เช่น แผนภูมิ แผนภาพ โปสเตอร์ การ์ตูน
2.3 วัสดุเครื่องฉาย ได้แก่ เครื่องฉายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว เครื่องฉายภาพยนตร์ ฟิล์มภาพยนตร์
2.4 วัสดุถ่ายทอดเสียง ได้แก่ เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องบันทึกเสียง
3. จำแนกตามประสบการณ์
.......ขั้นที่ 1ประสบการณ์ตรง (เป็นรูปธรรมมากสุด)
.......ขั้นที่ 2 ประสบการณ์จำลอง
.......ขั้นที่ 3 ประสบการณ์นาฏการ เช่น การแสดงละคร บทบาทสมมุติ
.......ขั้นที่ 4 การสาธิต
.......ขั้นที่ 5 การศึกษานอกสถานที่
.......ขั้นที่ 6 นิทรรศการ
.......ขั้นที่ 7 โทรทัศน์และภาพยนตร์
.......ขั้นที่ 8 ภาพนิ่ง วิทยุและการบันทึกเสียง
.......ขั้นที่ 9 ทัศนสัญลักษณ์
.......ขั้นที่ 10 วจนสัญลักษณ์ เช่นคำอภิปราย คำบรรยาย โฆษณา (เป็นนามธรรมมากสุด)
หลักการเลือกและใช้สื่อการสอน
.......1. เลือก
- เลือกใช้สื่อตามวัตถุประสงค์ของการเรียน
- เลือกใช้สื่อตามระดับคุณค่าของสื่อ
- เลือกใช้สื่อตามขนาดของกลุ่มผู้เรียน
.......2. เตรียม
- การเตรียมครู ได้แก่ ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม บันทึกหัวข้อที่จะสอนตามลำดับ พิจารณาวัตถุประสงค์ของบทเรียน
- การเตรียมผู้เรียน ได้แก่ จัดให้ผู้เรียนนั่งให้เหมาะสมกับการใช้สื่อแต่ละประเภท อธิบายให้ผู้เรียนทราบล่วงหน้าว่าจะมีกิจกรรมอะไร ควรสังเกตอะไร
- การเตรียมชั้นเรียน ได้แก่ จัดโต๊ะเก้าอี้ของผู้เรียนเพียงพอ ให้ทุกคนสามารถมองเห็นได้ชัดเจน จัดที่ตั้งอุปกรณ์ เครื่องมือให้เป็นระเบียบ
.......3. ขั้นการใช้หรือการแสดง การนำสื่อที่เลือกและเตรียมไว้ล่วงหน้ามาใช้ประกอบการสอน
.......4. ขั้นติดตามผล เป็นการติดตามเพื่อประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพของสื่อ
บทที่ 5 สื่อการสอนประเภทวัสดุ
..............สื่อการสอนประเภทวัสดุ เป็นสื่อที่มีขนาดเล็ก สามารถเก็บบรรจุความรู้และประสบการณ์ได้เป็นอย่างดี
.......
สื่อวัสดุกราฟิก
สื่อการเรียนที่มีองค์ประกอบสำคัญ คือ กราฟิก ได้แก่ ภาพเขียน ทั้งที่เป็นภาพสี ภาพขาวดำ ตัวหนังสือ เส้น และสัญลักษณ์
........ประเภทวัสดุกราฟิก
....- แผนภูมิ
....- แผนสถิติ
....- แผนภาพ
....- ภาพพลิก
....- ภาพชุด
....- ภาพโฆษณา
....- แผ่นโปร่งใส
......................คุณค่าของวัสดุกราฟิก
.........เป็น สื่อวัสดุ 2 มิติ ผู้เรียนสามารถรับรู้ได้ทางตา ราคาถูก ครูสามารถผลิตได้ด้วยตัวเอง สามารถบรรจุความรู้ไว้ในตัวเองและสื่อความหมายได้ทันที
.....................ประโยชน์ของวัสดุกราฟิก
......- ช่วยให้ผู้เรียนและผู้สอนเข้าใจเนื้อหาได้ตรงกัน
......- เรียนรู้ได้ดีกว่าการฟังอย่างเดียว
......- ประหยัดเวลา กระตุ้นความสนใจผู้เรียนได้ดีกว่า
..................ลักษณะของวัสดุกราฟิกที่ดี
......- ตรงกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของบทเรียน มีรูปแบบง่ายต่อการรับรู้
......- สื่อความหมายได้รวดเร็วและชัดเจน
การออกแบบวัสดุกราฟิก
......- เหมาะกับลักษณะของผู้เรียน
......- ตรงตามเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของบทเรียน
ข้อดีและข้อจำกัดของวัสดุกราฟิก
ข้อดี
......- แสดงเนื้อหานามธรรมที่ยากต่อการเข้าใจให้เข้าใจง่ายขึ้น
......- สามารถผลิตได้ง่าย ต้นทุนการผลิตต่ำ
......- สะดวกรวดเร็วในการใช้งาน
ข้อจำกัด
......- ใช้ได้กับกลุ่มเป้าหมายขนาดเล็กเท่านั้น
......- การออกแบบและการผลิตไม่ดี อาจทำให้ผู้เรียนเข้าใจยาก
สื่อวัสดุ 3 มิติ
......วัสดุ 3 มิติ หมาย ถึง สื่อที่ผลิตจากวัสดุที่มีความกว้าง ความยาว ความหนาหรือลึก ผู้เรียนสามารถรับรู้ได้หลายมุมมอง และการรับสัมผัสต่างๆ สามารถรับรู้ได้ตามความเป็นจริง
ประเภทของสื่อวัสดุ 3 มิติ
......1. หุ่นจำลอง ควรมีเทคนิคในการเลือกให้ตรงกับจุดมุ่งหมายของเนื้อหา
......2. ของจริง ควรมีลักษณะตรงกับวัตถุประสงค์ เนื้อหา และธรรมชาติของผู้เรียน
......3. ป้ายนิเทศ ชื่อเรื่องต้องมีลักษณะเป็นข้อความสั้นๆ ข้อความเนื้อหา คำเชิญชวน คำแนะนำน่าสนใจ
......4. ตู้อันตรทัศน์ สื่อ 3 มิติเลียนแบบธรรมชาติ กระตุ้นความสนใจ วัสดุประกอบฉากสอดคล้องเป็นเรื่องเดียวกัน
สื่อวัสดุอิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง วัสดุที่ใช้กับเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เทป บันทึกเสียง เทปวีดีทัศน์ แผ่นซีดี
ประเภทของสื่อวัสดุอิเล็กทรอนิกส์
......1. เทปบันทึกเสียง เป็นวัสดุที่ใช้บันทึกเสียงในรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สามารถลบและบันทึกได้อีก
......2. เทปวีดีทัศน์ บันทึกเสียงและภาพได้พร้อมกัน สามารถลบและบันทึกใหม่ได้
......3. แผ่นซีดี ใช้บันทึกภาพ เสียง ด้วยระบบดิจิตอลที่สลับซับซ้อน
......4. แผ่นวีซีดี บันทึกข้อมูล อ่านข้อมูลด้วยแสงเลเซอร์ สามารถบันทึกข้อมูลที่เป้นภาพยนต์พร้อมเสียงสเตอริโอได้ถึง 1.44 ล้านบิตต่อวินาที
......5. แผ่นดีวีดี มีความคมชัดเทียบเท่าหรือดีกว่าแผ่นเลเซอร์วีดีโอดิสก์
......6. แผ่นเอสวีซีดี มีความคมชัดภาพ 576*480 จุดและเสียงสเตอริโอ
......7. แผ่นเอ็กซ์วีซีดี เป็นการผสมคุณลักษณะระหว่างวีซีดีรุ่น 2.0 และดีวีดี โดยที่แผ่นเอ็กซ์วีซีดีจะมีอัตราการเสนอภาพ 3.5 ล้านบิตต่อวินาที เร็วกว่าวีซีดีธรรมดา แต่ไม่สามารถใช้เสียงหลายช่องทางหรือมีข้อความบรรยายได้
......8. แผ่นเอ็กซ์เอสวีซีดี มีอัตราการเสนอภาพเร็วถึง 9.8 ล้านบิตต่อวินาที มีความคมชัดมากกว่าด้วย สามารถใช้เสียงหลายช่องทางและมีข้อความบรรยายได้
.......
สื่อวัสดุกราฟิก
สื่อการเรียนที่มีองค์ประกอบสำคัญ คือ กราฟิก ได้แก่ ภาพเขียน ทั้งที่เป็นภาพสี ภาพขาวดำ ตัวหนังสือ เส้น และสัญลักษณ์
........ประเภทวัสดุกราฟิก
....- แผนภูมิ
....- แผนสถิติ
....- แผนภาพ
....- ภาพพลิก
....- ภาพชุด
....- ภาพโฆษณา
....- แผ่นโปร่งใส
......................คุณค่าของวัสดุกราฟิก
.........เป็น สื่อวัสดุ 2 มิติ ผู้เรียนสามารถรับรู้ได้ทางตา ราคาถูก ครูสามารถผลิตได้ด้วยตัวเอง สามารถบรรจุความรู้ไว้ในตัวเองและสื่อความหมายได้ทันที
.....................ประโยชน์ของวัสดุกราฟิก
......- ช่วยให้ผู้เรียนและผู้สอนเข้าใจเนื้อหาได้ตรงกัน
......- เรียนรู้ได้ดีกว่าการฟังอย่างเดียว
......- ประหยัดเวลา กระตุ้นความสนใจผู้เรียนได้ดีกว่า
..................ลักษณะของวัสดุกราฟิกที่ดี
......- ตรงกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของบทเรียน มีรูปแบบง่ายต่อการรับรู้
......- สื่อความหมายได้รวดเร็วและชัดเจน
การออกแบบวัสดุกราฟิก
......- เหมาะกับลักษณะของผู้เรียน
......- ตรงตามเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของบทเรียน
ข้อดีและข้อจำกัดของวัสดุกราฟิก
ข้อดี
......- แสดงเนื้อหานามธรรมที่ยากต่อการเข้าใจให้เข้าใจง่ายขึ้น
......- สามารถผลิตได้ง่าย ต้นทุนการผลิตต่ำ
......- สะดวกรวดเร็วในการใช้งาน
ข้อจำกัด
......- ใช้ได้กับกลุ่มเป้าหมายขนาดเล็กเท่านั้น
......- การออกแบบและการผลิตไม่ดี อาจทำให้ผู้เรียนเข้าใจยาก
สื่อวัสดุ 3 มิติ
......วัสดุ 3 มิติ หมาย ถึง สื่อที่ผลิตจากวัสดุที่มีความกว้าง ความยาว ความหนาหรือลึก ผู้เรียนสามารถรับรู้ได้หลายมุมมอง และการรับสัมผัสต่างๆ สามารถรับรู้ได้ตามความเป็นจริง
ประเภทของสื่อวัสดุ 3 มิติ
......1. หุ่นจำลอง ควรมีเทคนิคในการเลือกให้ตรงกับจุดมุ่งหมายของเนื้อหา
......2. ของจริง ควรมีลักษณะตรงกับวัตถุประสงค์ เนื้อหา และธรรมชาติของผู้เรียน
......3. ป้ายนิเทศ ชื่อเรื่องต้องมีลักษณะเป็นข้อความสั้นๆ ข้อความเนื้อหา คำเชิญชวน คำแนะนำน่าสนใจ
......4. ตู้อันตรทัศน์ สื่อ 3 มิติเลียนแบบธรรมชาติ กระตุ้นความสนใจ วัสดุประกอบฉากสอดคล้องเป็นเรื่องเดียวกัน
สื่อวัสดุอิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง วัสดุที่ใช้กับเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เทป บันทึกเสียง เทปวีดีทัศน์ แผ่นซีดี
ประเภทของสื่อวัสดุอิเล็กทรอนิกส์
......1. เทปบันทึกเสียง เป็นวัสดุที่ใช้บันทึกเสียงในรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สามารถลบและบันทึกได้อีก
......2. เทปวีดีทัศน์ บันทึกเสียงและภาพได้พร้อมกัน สามารถลบและบันทึกใหม่ได้
......3. แผ่นซีดี ใช้บันทึกภาพ เสียง ด้วยระบบดิจิตอลที่สลับซับซ้อน
......4. แผ่นวีซีดี บันทึกข้อมูล อ่านข้อมูลด้วยแสงเลเซอร์ สามารถบันทึกข้อมูลที่เป้นภาพยนต์พร้อมเสียงสเตอริโอได้ถึง 1.44 ล้านบิตต่อวินาที
......5. แผ่นดีวีดี มีความคมชัดเทียบเท่าหรือดีกว่าแผ่นเลเซอร์วีดีโอดิสก์
......6. แผ่นเอสวีซีดี มีความคมชัดภาพ 576*480 จุดและเสียงสเตอริโอ
......7. แผ่นเอ็กซ์วีซีดี เป็นการผสมคุณลักษณะระหว่างวีซีดีรุ่น 2.0 และดีวีดี โดยที่แผ่นเอ็กซ์วีซีดีจะมีอัตราการเสนอภาพ 3.5 ล้านบิตต่อวินาที เร็วกว่าวีซีดีธรรมดา แต่ไม่สามารถใช้เสียงหลายช่องทางหรือมีข้อความบรรยายได้
......8. แผ่นเอ็กซ์เอสวีซีดี มีอัตราการเสนอภาพเร็วถึง 9.8 ล้านบิตต่อวินาที มีความคมชัดมากกว่าด้วย สามารถใช้เสียงหลายช่องทางและมีข้อความบรรยายได้
บทที่ 6 สื่อการสอนประเภทอุปกรณ์
................
เครื่องฉาย
.....เป็นอุปกรณ์ฉายภาพให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ผู้เรียนมองเห็นภาพหรือเนื้อหาได้ชัดเจนขึ้น กระตุ้นความสนใจได้ดี
..............ส่วนประกอบของเครื่องฉาย
......1.หลอดฉาย เป็นแหล่งกำเนิดแสงที่ส่องผ่านวัสดุฉายและเลนส์ ให้ภาพไปปรากฏบนจอ
......2.แผ่นสะท้อนแสง ทำหน้าที่สะท้อนแสงจากด้านหลังของหลอกฉายไปรวมกับแสงด้านหน้า ทำให้ความเข้มข้นของแสงเพิ่มขึ้นเป็นเกือบสองเท่า
......3. วัสดุฉาย เป็นวัสดุรองรับเนื้อหาความรู้ไว้ในรูปของรูปภาพ ตัวอักษร และสัญลักษณ์ วัสดุฉายต้องใช้ควบคู่กับเครื่องฉายเสมอ เพื่อให้ผู้เรียนมองเห็นได้ชัดเจน
......4.เลนส์ เป็นวัสดุโปร่งใสที่มีอยู่ในเครื่องฉายทั่วไป ทำด้วยแก้วหรือพลาสติกใส มีคุณสมบัติหักเหแสงที่สะท้อนมากระทบกับเลนส์ ทำให้ภาพถูกขยายเลนส์
......5.จอ เป็นอุปกรณ์รองรับภาพจากเครื่องฉายชนิดต่างๆ
..............
ประเภทของเครื่องฉาย
......1. เครื่องฉายข้ามศีรษะ
- เครื่องฉายข้ามศีรษะแบบทั่วๆไป
- เครื่องฉายข้ามศีรษะแบบสะท้อนจากกระจกเงาด้านล่าง
- เครื่องฉายข้ามศีรษะแบบพับเก็บได้
......2. เครื่องฉายสไลด์
- เครื่องฉายสไลด์แบบธรรมดา ควบคุมโดยผู้ใช้งานตลอกเวลา
- เครื่องฉายสไลด์แบบอัตโนมัติ
.....3. เครื่องฉายแอลซีดี มีประสิทธิภาพในการแสดงผลที่ใช้พลังงานน้อย
.................................................................................4. เครื่องดีแอลพี มีความคมชดสูงกว่าแอลซีดี.............................................
............
เครื่องอุปกรณ์แปลงสัณญาณ
......เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำหน้าที่ในการอ่านข้อมูลจากวัสดุและแปลงสัณญาณไฟฟ้าเพื่อแปลงกลับเป็นสัณญาณและเสียง
...........
ประเภทของเครื่องอุปกรณ์แปลงสัณญาณ
......1. เครื่องวิชวลเลเซอร์ ฉายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว
......2. เครื่องเล่นวีดีทัศน์ แปลงสัณญาณแม่เหล็กจากแถบเทปเป็นสัณญาณภาพและเสียง
......3. เครื่องเล่นวีซีดี
......4. เครื่องเล่นดีวีดี
.............เครื่องเสียง
......
แหล่งกำเนิดเสียง
...........เสียง sound เกิด จาการสั่นสะเทือนของวัตถุ พลังงานการสั่นสะเทือนจะจัดอากาศให้เป็นคลื่นออกไปโดยรอบ เรียกว่า คลื่นเสียง เมื่อคลื่นเสียงไปกระทบแก้วหู จะทำให้แก้วหูสั่นสะเทือนราบงานผ่านไปยังสมองทำให้ได้ยินเสียง
แหล่งกำเนิดเสียง เช่น เสียงคน สัตว์ การสั่นสะเทือนของวัตถุเมื่อถูกดีด สี ตี เป่า เคาะ เสียงจากธรรมชาติ เช่น ฝนตก น้ำไหล ฟ้าร้อง ลมพัด
ส่วนประกอบของการขยายเสียง
ภาคสัญญาณเข้า ทำหน้าที่สร้างหรือนำสัญญาณไฟฟ้าความถี่เสียงที่ต้องการขยายมาป้อนกับภาคขยายเสียง ได้แก่ ไมโครโฟน
ภาคขยายเสียง ทำหน้าที่ขยายสัญญาณไฟฟ้าความถี่เสียงให้มีกำลังมากขึ้นเพื่อส่งออกไปขับลำโพงให้เกิดเสียงดังขึ้น ได้แก่ เครื่องขยายเสียง
ภาคสัญญาณออก เปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าความถี่เสียงที่ถูกขยายมาแล้วให้กลับเป็นคลื่นเสียง ได้แก่ ลำโพง
ไมโครโฟน เป็นอุปกรณ์เปลี่ยนคลื่นเสียงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า
เครื่องขยายเสียง เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ขยายสัญญาณไฟฟ้าความถี่เสียงให้มีกำลังมากขึ้น เพื่อส่งออกไปขับลำโพงให้เปล่งเสียงออกมา
ลำโพง
บทที่ 7 สื่อการสอนประเภทกิจกรรม
>>>>>สื่อการสอนประเภทกิจกรรม เป็นกระบวนการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนได้เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อให้มีโอกาสเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆด้วยตนเอง
............คุณค่าของสื่อกิจกรรม
......1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนกล้าแสดงออกและสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
......2. ทำให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน
...........ลักษณะสื่อการสอนประเภทกิจกรรมที่ดี
......1. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดขอบข่าย เนื้อหา และวัตถุประสงค์
......2. กิจกรรมต้องตรงกับเนื้อหาและจุดมุ่งหมายของบทเรียนที่กำหนดไว้
......3. ผู้เรียนได้ฝึกฝน พฤติกรรมการเรียนรู้ทั้งทางด้านความรู้ เจตคติ และทักษะผสมผสาน
..........ประเภทของสื่อประเภทกิจกรรม
......1. การสาธิต กระบวนการที่ผู้สอนช่วยให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยการแสดง หรือกระทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
......2. การจัดนิทรรศการการนำเอาทัศนวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการเรียนการสอน เช่น แผนภาพ รูปภาพ กราฟ วัสดุ 3 มิติ ของจริงและตัวอย่าง มาแสดงเพื่อเป็นการสื่อสารทางความคิดและความรู้ให้กับบุคคลระดับต่างๆ
......3. ประสบการณ์นาฏการ ประสบการที่ใช้แทนประสบการณ์จริง เป็นการแสดงต่างๆ ที่จัดขึ้นเพื่อให้ผู้ชมเข้าใจเนื้อหาเรื่องราวจากลีลา ท่าทาง บทบาทภาษาพูดของผู้แสดง
......4. การใช้ชุมชนเพื่อการศึกษา การใช้หลักวิชาการและสภาพแวดล้อมของชุมชนให้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ เพื่อขยายประสบการณ์ของผู้เรียนให้กว้างขวาง ใกล้ชิดสภาพความเป็นจริง
......5. สถานการณ์จำลอง เป็นการจัดสภาพแวดล้อมเลียนแบบความจริงให้ใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริงมาก ที่สุด เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกฝน แก้ปัญหาและตัดสินใจจากสภาพการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นั้นแล้วนำประสบการณ์แห่ง ความสำเร็จไปเป็นแนวทางในการแก้ปัญหา
......6. การศึกษานอกสถานที่ กิจกรรมที่พาผู้เรียนออกไปหาประสบการณ์นอกห้องเรียนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ที่สอดคล้องกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
......7. กระบวนการกลุ่ม เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้รับความรู้จากการลงมือร่วมกันปฏิบัติเป็น กลุ่ม หลักการเรียนรู้ที่สำคัญของกระบวนการกลุ่ม คือ ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองด้วยการเข้ากลุ่มกับ สมาชิก มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและร่วมกันวิเคราะห์สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น
บทที่ 8 นวัตกรรมการศึกษา
.............................บทเรียนโปรแกรม
.......การลำดับประสบการณ์ที่จัดวางไว้สำหรับนำผู้เรียนไปสู่ความสามารถโดยอาศัยหลักความสัมพันธ์ของสิ่งเร้ากับการตอบสนอง
พื้น ฐานทางจิตวิทยาของบทเรียนโปรแกรม เป็นทฤษฎีแนวพฤติกรรมนิยม ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองและการเสริมแรง อาจเป็นไปได้ทั้งพฤติกรรมทางสมอง กล้ามเนื้อ และความรู้สึก
การเสริมแรงเป็นการกระทำให้การตอบสนองของผู้เรียนมีความหมาย และเป็นไปตามที่ผู้สอนปรารถนาทุกครั้ง
......................ลักษณะของบทเรียนโปรแกรม
..........1. การแบ่งขั้นการเรียนรู้เป็นหน่วยย่อยๆ และเรียงลำดับจากง่ายไปสู่ยาก
..........2. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนอย่างกระฉับกระเฉง
..........3. ให้ผู้เรียนได้ทราบผลการเรียนของตนอย่างทันทีทันใด
..........4. ให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนเป็นระยะๆ
ประเภทของบทเรียนโปรแกรม
..........1. แบบเส้นตรง ให้ผู้เรียนทุกคนเรียนผ่านกรอบของบทเรียนทุกกรอบ ตั้งแต่กรอบที่ 1 ไปจนถึงกรอบสุดท้าย
..........2. แบบสาขา
.......- กรอบยืนหรือกรอบหลัก ทุกคนต้องเรียนผ่าน
.......- บทเรียนโปรแกรมแบบสาขา เหมาะสำหรับการใช้สอนในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหา การวิเคราะห์
..........
ข้อดีและข้อจำกัดของบทเรียนโปรแกรม
..........ข้อดี ทำ ให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนด้วยตนเอง สามารถแก้ไขความเข้าใจผิดได้ทันทีถ้าตอบผิด ถ้าตอบถูกก็มีการเสริมแรงให้เกิดกำลังใจ สนรองความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ดี
..........ข้อจำกัด ไม่เหมาะสมสำหรับการสอนเนื้อหาวิชาที่ต้องการคำตอบในแง่ความคิด
ชุดการสอน
..........คือ ชุดของสื่อหลายๆชนิดหรือที่เรียกว่าสื่อประสมที่จัดไว้เป็นกล่องหรือซองตาม ลักษณะของเนื้อหาวิชา เพื่อรวบรวมเอกสารและประสบการณ์ต่างๆสำหรับช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ อย่างมีประสิทธิภาพ
ทฤษฎีที่ทำให้เกิดชุดการสอน
..........1. การใช้สื่อประสม
..........2. การใช้กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์
..........3. การใช้จิตวิทยาการเรียนรู้มาจัดสภาพในการเรียน
ประเภทของชุดการสอน
..................................................................1. ชุดการสอนประกอบคำบรรยาย
................................................................2. ชุดการสอนแบบกลุ่มเล็กและชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน
.............................................................3. ชุดการสอนรายบุคคล
................องค์ประกอบของชุดการสอน
...........1. คำชี้แจง
...........2. จุดมุ่งหมาย
...........3. การประเมินผลเบื้องต้น
...........4. รายการเนื้อหาวิชาและสิ่งที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
...........5. การกำหนดกิจกรรม
...........6. การประเมินผลขั้นสุดท้าย
...............ประโยชน์ของชุดการสอน
..........1. เร้าความสนใจของผู้เรียน
..........2. การเรียนรู้เป็นอิสระจากอารมณ์ของครู
..........3. ขจัดปัญหาในการขาดแคลนครู สนับสนุนการศึกษานอกโรงเรียน
..........4. แก้ปัญหาความแตกต่างๆระหว่างบุคคล
..........5. ผู้เรียนสามารถรับทราบผลความก้าวหน้าของตนเอง
..........6. ให้ความสะดวกและสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้แก่ครู
....................................ศูนย์การเรียน
.......คือ การจัดบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนโดยมุ่งให้ผู้เรียนศึกษาหา ความรู้ด้วยตนเองจากโปรแกรมการเรียน ซึ่งจัดไว้ในรูปชุดการเรียนการสอนรายกลุ่มหรือรายบุคคล
................แนวคิดในการจัดศูนย์การเรียน
...........1. การให้ผู้เรียนลงมือทำกิจกรรมด้วยตนเอง
...........2. ให้รับทราบผลการกระทำในทันที
...........3. ให้มีโอกาสเกิดความภาคภูมิใจ
...........4. ให้เรียนไปทีละน้อยตามลำดับขั้น
.............................ประเภทศูนย์การเรียน
...........1. ศูนย์การเรียนในห้องเรียน
...........2. ศูนย์การเรียนเอกทัศ
- ศูนย์การเรียนสำหรับครู เป็นห้องปฏิบัติการวิธีสอน
- ศูนย์วิชาการ สำหรับนักเรียน เพื่อให้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
- ศูนย์การเรียนชุมชน เป็นสถานศึกษาที่เปิดโอกาสให้บุคคลทุกเพศทุกวัยเข้ามาศึกษาในเรื่องที่สนใจ
............................การสอนแบบศูนย์การเรียน
เป็นการจัดสภาพห้องเรียนรูปแบบใหม่ ที่เน้นให้ผู้เรียนประกอบกิจกรรมในการเรียนด้วยตนเองตามโปรแกรมการสอนที่จัดไว้ในศูนย์กิจกรรมต่างๆ
...........ขั้นตอนการเรียนในศูนย์การเรียน
...........1. ทดสอบก่อนเรียน
...........2. นำเข้าสู่บทเรียน
...........3.ดำเนินกิจกรรมการเรียนโดยแบ่งกลุ่มผู้เรียน
...........4. สรุปบทเรียน
...........5. ประเมินผลการเรียน
ประโยชน์ของศูนย์การเรียน
1. สร้างบรรยากาศในการเรียน เพิ่มความสนใจของผู้เรียน
2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง
3. ช่วยสร้างบรรยากาศแห่งเสรีภาพในการแสดงความคิด
4. ส่งเสริมการทำงานเป็นหมู่คณะ
..............................การสอนแบบจุลภาค
.....คือ การสอนในสถานการณ์จำลองห้องเรียนง่ายๆ เป็นการอสนมุ่งฝึกทักษะเฉพาะในการสอน
......................หลักเกี่ยวกับการสอนแบบจุลภาค
.....1. การเสริมแรง
.....2. การรับรู้ผลย้อนกลับ
.....3. การฝึกซ้ำหลายๆครั้ง
.....4. การถ่ายโยงการเรียน
.............
ทักษะการสอนแบบจุลภาค
......1. ทักษะสำหรับครูเป็นศูนย์กลาง
......2. ทักษะผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
.............ขั้นตอนการสอนแบบจุลภาค
.........1. ขั้นศึกษาทักษะที่ต้องการฝึก
.........2. ขั้นเลือกเนื้อหาและวางแผนการสอน
.........3. ขั้นสอน
.........4. ขั้นวิเคราะห์ผลการสอน
.........5. ขั้นตัดสินใจ
.........6. ขั้นจบกระบวนการสอน
.............
ข้อดีและข้อจำกัดการสอนแบบจุลภาค
.........ข้อดี ใช้ ในการทดลองสอนและปรับปรุงวิธีสอน ใช้ทดลองสอนเพื่อปรับปรุงเนื้อหาในหลักสูตร ใช้ฝึกทักษะและสมรรถภาพในการสอนให้กับครู เปิดโอกาสให้ผู้สอนทดลองสอนจนพอใจ
.........ข้อจำกัด ผู้ฝึกไม่ได้พบสภาพห้องเรียนจริง การสอนแบบจุลภาคใช้ประกอบการสอนแต่ไม่ใช้แทนการฝึกสอน
.............การสอนเป็นคณะ
.........เป็น วิธีดำเนินการสอนแบบที่เน้นการใช้บุคลากรให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น โดยจัดให้ครูร่วมกันวางแผนจัดการเรียนการสอน ประเมินผล และรับผิดชอบเด็กกลุ่มเดียวกัน
.............
วัตถุประสงค์ของการสอนเป็นคณะ
.........1. ปรับปรุงประสิทธิภาพของการสอน
.........2. ส่งเสริมการดำเนินชีวิตแบบประชาธิปไตย
.........3. มีเวลาให้ผู้เรียนมาก
.........4. แก้ปัญหาจำนวนนักเรียนในห้องเรียน
.........5. ส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ
.........6. แก้ปัญหาความไม่ยุติธรรม
...............
รูปแบบการสอนเป็นคณะ
.........1. แบบมีผู้นำ
.........2. แบบไม่มีผู้นำ
.........3. แบบครูพี่เลี้ยง
...............
วิธีดำเนินการสอนเป็นคณะ
.........1. การสอนเป็นกลุ่มใหญ่
.........2. ความคิดรวบยอด
.........3. การสอนเป็นกลุ่มเล็ก
.........4. การค้นคว้าด้วยตนเอง
................ข้อดีและข้อจำกัดของการสอนเป็นคณะ
.........ข้อดี ครู มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านวิชาการ ครูใช้ความถนัดและความสามารถของตนได้อย่างเต็มที่ ทำให้ครูใหม่ได้มีโอกาสได้ฝึกงานให้เกิดความชำนาญ ผู้เรียนมีประสบการณ์กว้างขวาง
.........ข้อจำกัด ต้องเสียเวลาในการเตรียมงานมาก ความสำเร็จของการสอนขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบและความร่วมมือของครู
................การสอนทางไกล
หมาย ถึง ระบบการศึกษาที่ผู้เรียนและผู้สอนอยู่ไกลกันแต่สามารถทำให้เกิดการเรียนรู้ โดยอาศัยสื่อการสอนในลักษณะสื่อประสม เช่น ตำราเรียน เทปบันทึกเสียง
.......การลำดับประสบการณ์ที่จัดวางไว้สำหรับนำผู้เรียนไปสู่ความสามารถโดยอาศัยหลักความสัมพันธ์ของสิ่งเร้ากับการตอบสนอง
พื้น ฐานทางจิตวิทยาของบทเรียนโปรแกรม เป็นทฤษฎีแนวพฤติกรรมนิยม ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองและการเสริมแรง อาจเป็นไปได้ทั้งพฤติกรรมทางสมอง กล้ามเนื้อ และความรู้สึก
การเสริมแรงเป็นการกระทำให้การตอบสนองของผู้เรียนมีความหมาย และเป็นไปตามที่ผู้สอนปรารถนาทุกครั้ง
......................ลักษณะของบทเรียนโปรแกรม
..........1. การแบ่งขั้นการเรียนรู้เป็นหน่วยย่อยๆ และเรียงลำดับจากง่ายไปสู่ยาก
..........2. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนอย่างกระฉับกระเฉง
..........3. ให้ผู้เรียนได้ทราบผลการเรียนของตนอย่างทันทีทันใด
..........4. ให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนเป็นระยะๆ
ประเภทของบทเรียนโปรแกรม
..........1. แบบเส้นตรง ให้ผู้เรียนทุกคนเรียนผ่านกรอบของบทเรียนทุกกรอบ ตั้งแต่กรอบที่ 1 ไปจนถึงกรอบสุดท้าย
..........2. แบบสาขา
.......- กรอบยืนหรือกรอบหลัก ทุกคนต้องเรียนผ่าน
.......- บทเรียนโปรแกรมแบบสาขา เหมาะสำหรับการใช้สอนในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหา การวิเคราะห์
..........
ข้อดีและข้อจำกัดของบทเรียนโปรแกรม
..........ข้อดี ทำ ให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนด้วยตนเอง สามารถแก้ไขความเข้าใจผิดได้ทันทีถ้าตอบผิด ถ้าตอบถูกก็มีการเสริมแรงให้เกิดกำลังใจ สนรองความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ดี
..........ข้อจำกัด ไม่เหมาะสมสำหรับการสอนเนื้อหาวิชาที่ต้องการคำตอบในแง่ความคิด
ชุดการสอน
..........คือ ชุดของสื่อหลายๆชนิดหรือที่เรียกว่าสื่อประสมที่จัดไว้เป็นกล่องหรือซองตาม ลักษณะของเนื้อหาวิชา เพื่อรวบรวมเอกสารและประสบการณ์ต่างๆสำหรับช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ อย่างมีประสิทธิภาพ
ทฤษฎีที่ทำให้เกิดชุดการสอน
..........1. การใช้สื่อประสม
..........2. การใช้กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์
..........3. การใช้จิตวิทยาการเรียนรู้มาจัดสภาพในการเรียน
ประเภทของชุดการสอน
..................................................................1. ชุดการสอนประกอบคำบรรยาย
................................................................2. ชุดการสอนแบบกลุ่มเล็กและชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน
.............................................................3. ชุดการสอนรายบุคคล
................องค์ประกอบของชุดการสอน
...........1. คำชี้แจง
...........2. จุดมุ่งหมาย
...........3. การประเมินผลเบื้องต้น
...........4. รายการเนื้อหาวิชาและสิ่งที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
...........5. การกำหนดกิจกรรม
...........6. การประเมินผลขั้นสุดท้าย
...............ประโยชน์ของชุดการสอน
..........1. เร้าความสนใจของผู้เรียน
..........2. การเรียนรู้เป็นอิสระจากอารมณ์ของครู
..........3. ขจัดปัญหาในการขาดแคลนครู สนับสนุนการศึกษานอกโรงเรียน
..........4. แก้ปัญหาความแตกต่างๆระหว่างบุคคล
..........5. ผู้เรียนสามารถรับทราบผลความก้าวหน้าของตนเอง
..........6. ให้ความสะดวกและสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้แก่ครู
....................................ศูนย์การเรียน
.......คือ การจัดบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนโดยมุ่งให้ผู้เรียนศึกษาหา ความรู้ด้วยตนเองจากโปรแกรมการเรียน ซึ่งจัดไว้ในรูปชุดการเรียนการสอนรายกลุ่มหรือรายบุคคล
................แนวคิดในการจัดศูนย์การเรียน
...........1. การให้ผู้เรียนลงมือทำกิจกรรมด้วยตนเอง
...........2. ให้รับทราบผลการกระทำในทันที
...........3. ให้มีโอกาสเกิดความภาคภูมิใจ
...........4. ให้เรียนไปทีละน้อยตามลำดับขั้น
.............................ประเภทศูนย์การเรียน
...........1. ศูนย์การเรียนในห้องเรียน
...........2. ศูนย์การเรียนเอกทัศ
- ศูนย์การเรียนสำหรับครู เป็นห้องปฏิบัติการวิธีสอน
- ศูนย์วิชาการ สำหรับนักเรียน เพื่อให้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
- ศูนย์การเรียนชุมชน เป็นสถานศึกษาที่เปิดโอกาสให้บุคคลทุกเพศทุกวัยเข้ามาศึกษาในเรื่องที่สนใจ
............................การสอนแบบศูนย์การเรียน
เป็นการจัดสภาพห้องเรียนรูปแบบใหม่ ที่เน้นให้ผู้เรียนประกอบกิจกรรมในการเรียนด้วยตนเองตามโปรแกรมการสอนที่จัดไว้ในศูนย์กิจกรรมต่างๆ
...........ขั้นตอนการเรียนในศูนย์การเรียน
...........1. ทดสอบก่อนเรียน
...........2. นำเข้าสู่บทเรียน
...........3.ดำเนินกิจกรรมการเรียนโดยแบ่งกลุ่มผู้เรียน
...........4. สรุปบทเรียน
...........5. ประเมินผลการเรียน
ประโยชน์ของศูนย์การเรียน
1. สร้างบรรยากาศในการเรียน เพิ่มความสนใจของผู้เรียน
2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง
3. ช่วยสร้างบรรยากาศแห่งเสรีภาพในการแสดงความคิด
4. ส่งเสริมการทำงานเป็นหมู่คณะ
..............................การสอนแบบจุลภาค
.....คือ การสอนในสถานการณ์จำลองห้องเรียนง่ายๆ เป็นการอสนมุ่งฝึกทักษะเฉพาะในการสอน
......................หลักเกี่ยวกับการสอนแบบจุลภาค
.....1. การเสริมแรง
.....2. การรับรู้ผลย้อนกลับ
.....3. การฝึกซ้ำหลายๆครั้ง
.....4. การถ่ายโยงการเรียน
.............
ทักษะการสอนแบบจุลภาค
......1. ทักษะสำหรับครูเป็นศูนย์กลาง
......2. ทักษะผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
.............ขั้นตอนการสอนแบบจุลภาค
.........1. ขั้นศึกษาทักษะที่ต้องการฝึก
.........2. ขั้นเลือกเนื้อหาและวางแผนการสอน
.........3. ขั้นสอน
.........4. ขั้นวิเคราะห์ผลการสอน
.........5. ขั้นตัดสินใจ
.........6. ขั้นจบกระบวนการสอน
.............
ข้อดีและข้อจำกัดการสอนแบบจุลภาค
.........ข้อดี ใช้ ในการทดลองสอนและปรับปรุงวิธีสอน ใช้ทดลองสอนเพื่อปรับปรุงเนื้อหาในหลักสูตร ใช้ฝึกทักษะและสมรรถภาพในการสอนให้กับครู เปิดโอกาสให้ผู้สอนทดลองสอนจนพอใจ
.........ข้อจำกัด ผู้ฝึกไม่ได้พบสภาพห้องเรียนจริง การสอนแบบจุลภาคใช้ประกอบการสอนแต่ไม่ใช้แทนการฝึกสอน
.............การสอนเป็นคณะ
.........เป็น วิธีดำเนินการสอนแบบที่เน้นการใช้บุคลากรให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น โดยจัดให้ครูร่วมกันวางแผนจัดการเรียนการสอน ประเมินผล และรับผิดชอบเด็กกลุ่มเดียวกัน
.............
วัตถุประสงค์ของการสอนเป็นคณะ
.........1. ปรับปรุงประสิทธิภาพของการสอน
.........2. ส่งเสริมการดำเนินชีวิตแบบประชาธิปไตย
.........3. มีเวลาให้ผู้เรียนมาก
.........4. แก้ปัญหาจำนวนนักเรียนในห้องเรียน
.........5. ส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ
.........6. แก้ปัญหาความไม่ยุติธรรม
...............
รูปแบบการสอนเป็นคณะ
.........1. แบบมีผู้นำ
.........2. แบบไม่มีผู้นำ
.........3. แบบครูพี่เลี้ยง
...............
วิธีดำเนินการสอนเป็นคณะ
.........1. การสอนเป็นกลุ่มใหญ่
.........2. ความคิดรวบยอด
.........3. การสอนเป็นกลุ่มเล็ก
.........4. การค้นคว้าด้วยตนเอง
................ข้อดีและข้อจำกัดของการสอนเป็นคณะ
.........ข้อดี ครู มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านวิชาการ ครูใช้ความถนัดและความสามารถของตนได้อย่างเต็มที่ ทำให้ครูใหม่ได้มีโอกาสได้ฝึกงานให้เกิดความชำนาญ ผู้เรียนมีประสบการณ์กว้างขวาง
.........ข้อจำกัด ต้องเสียเวลาในการเตรียมงานมาก ความสำเร็จของการสอนขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบและความร่วมมือของครู
................การสอนทางไกล
หมาย ถึง ระบบการศึกษาที่ผู้เรียนและผู้สอนอยู่ไกลกันแต่สามารถทำให้เกิดการเรียนรู้ โดยอาศัยสื่อการสอนในลักษณะสื่อประสม เช่น ตำราเรียน เทปบันทึกเสียง
บทที่ 9 คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา
>>>>>>>>>คอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพและศักยภาพสูงในการคำนวณ และประมวลผล สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
...........ระบบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
........1. การป้อนข้อมูล การพิมพ์ การพูด โดยผ่านอุปกรณ์ที่สำคัญ เช่น เมาส์ คีบอร์ด สแกนเนอร์ ซีดี
........2. การประมวลผล คำนวณและประมวลผลข้อมูล หรือเรียกว่า CPU
........3. การแสดงผล แสดงผลการทำงานของ CPU อาจเป็นรูปภาพ ตัวอักษร เสียง ทางจอภาพ เครื่องพิมพ์
.................การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการศึกษา
..........1. การใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อการสอนโดยตรง เช่น การฉายเนื้อหาประกอบการบรรยาย คอมพิวเตอร์สามารถทำหน้าที่แทนสื่อต่างๆ เช่น แผ่นใส ภาพนิ่ง
.........2. การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการออกแบบสื่อการเรียนการสอน เช่น การออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์มากที่เป็นเอกสารหนังสือ วารสาร โปสเตอร์ ชุดไมโครซอร์ฟออฟฟิต
........3. การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือการค้นคว้าเพื่อการเรียนรู้ทั่วไป
........4. การใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อการเรียนรู้
รูปแบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้เป็นสื่อการเรียนรู้
คอมพิวเตอรืช่วยสอน คือ สื่อการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการนำเสนอเนื้อหาบทเรียนในลักษณะสื่อประสม
.................คุณค่าของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
..........- คิดอย่างมีเหตุผลคือการเรียนการสอนจะเป็นในแง่ฝึกหัดให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เอง
..........- รู้จักแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
..........- ตัดสินใจได้ด้วยตนเอง
..........- ยอมรับและนับถือตนเอง
..........- รู้จักรับผิดชอบตนเอง
..........- มีพฤติกรรมซื่อสัตย์ต่อตน
.............คุณลักษณะของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
..........1. สารสนเทศ คือ เนื้อหาสาระที่ได้รับการวิเคราะห์ เรียบเรียงเป็นระบบอย่างดี ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามที่ผู้สร้างหรือออกแบบบทเรียนกำหนดไว้
..........2. ความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคนมีความถนัดในการเรียนรู้ต่างกัน การศึกษาบทเรียนรายบุคคลทำใก้ผู้เรียนเลือกเรียนได้ตามความสะดวก
..........3. การโต้ตอบ ระหว่างผู้เรียนกับบทเรียนออกแบบให้มีการตอบโต้ในบทเรียนจะมีผลดี ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจในการตอบโต้ในทันที
..............ประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
..........1. บทเรียน เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นมาในลักษณะของบทเรียน โปรแกรมที่เสนอเนื้อหาเป็นส่วนย่อยๆ เป็นการเรียนแบบการสอนของครู
..........2. ฝึกทักษะและปฏิบัติ
..........3. จำลองแบบ
..........4. เกมทางการศึกษา
..........5. การสาธิต
..........6. การทดลอง
..........7. การไต่ถาม
..........8. การแก้ปัญหา
..........9. แบบรวมวิธีต่างๆเข้าด้วยกัน
................ข้อดีและข้อจำกัดของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ข้อดี ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ดี ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามความถนัดของตน
ข้อจำกัด อาศัยอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นสำคัญ ทำให้ไม่สะดวก มีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ
อินเตอร์เน็ต
.........คือ เครือข่ายข้อมูลข่าวสารขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงติดต่อกันทั่วโลก ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือสำคัญในการปฏิบัติการ
.......1. มาตรฐานการสื่อสาร LAN,MAN,WAN ใช้ชื่อว่า TCP/IP
TCP ทำหน้าที่ควบคุมและตรวจสอบความถูกต้องในการรับส่งข้อมูล
IP กำหนดที่อยู่หรือแอดเดรสของคอมพิวเตอร์
......2. การเชื่อมต่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ต
..........- การเชื่อมต่อโดยตรง จะต้องมีคอมพิวเตอร์เครือข่ายเชื่อมต่อกับโครงข่ายหลักหรือแบ็กโบน โดยต้องมีเราเตอร์ในการเชื่อมต่อ เพื่อขอชื่อโดเมนแล้วติดตั้งเกตเวย์เป็นแบ็กโบน
..........- การเชื่อมต่อผ่านผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ต ใช้สายโทรศัพท์ต่อเข้ากับโมเด็ม
.....3. ประเภทของอินเตอร์เน็ต
..........- อินทราเน็ต สื่อสารเฉพาะในองค์การเท่านั้น
..........- เอ็กทราเน็ต เชื่อมต่อกับระบบคอมพิวเตอร์ภายนอกระหว่างองค์การกับองค์กับองค์การหรือบุคคล
......4. อินเตอร์เน็ตเพื่อการศึกษา
..........- การค้นคว้า
..........- การเรียนและติดต่อสื่อสาร
..........- การศึกษาทางไกล
..........- การเรียนการสอนอินเตอร์เน็ต
..........- การประยุกต์ใช้อินเตอร์เน็ต
.....5. การค้นคว้าความรู้ทางอินเตอร์เน็ตและอินทราเน็ต
เนื่อง มาจากอินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนห้องสมุดขนาดใหญ่ ที่มีข้อมูลทุกประเภทเก็บอยู่อย่างมากมาย มีการสร้างเว็บไซต์ไว้บนอินเตอร์เน็ตจำนวนมาก อินเตอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกในการค้นคว้า หาข้อมูลที่เราต้องการได้
........................การเรียนรู้ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
................ครอบ คลุมการเรียนรู้ขจากสื่อทุกชนิด ที่ใช้อิเล็กทรอนิกส์เป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการบันทึก การจัดระบบ การเผยแพร่เพื่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
.....................ลักษณะสำคัญของ อี-เลิร์นนิ่ง
..........1. การนำเสนอสาระสนเทศในรูปของสื่อประสม เนื้อหาสาระที่นำเสนอให้ผู้เรียนควรมีลักษณะหลากหลายแบบประกอบกัน
..........2. การขยายโอกาสเกี่ยวกับผู้เรียน สถานที่เรียน เวลาในการเรียน
..........3. การยืดหยุ่นในการเรียนรู้ การเรียนรู้เนื้อหาบทเรียนไม่จำเป็นต้องเรียนตามลำดับขั้น ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนหัวข้อใดก่อน/หลัง ได้ตามความสนใจ
..........4. การโต้ตอบหรือการมีปฆิสัมพันธ์ บทเรียนต้องได้รับการออกแบบให้ผู้เรียนมีชีวิตชีวาจากการนำเสนอสาระสนเทศใน ลักษณะสื่อประสม และการโต้ตอบกับบทเรียน โดยการตอบคำถามในแบบฝึกหัดและตรวจคำตอบได้ด้วยตนเอง
..........5. การป้อนผลย้อนกลับ ผู้เรียนต้องได้รับผลการเรียนรู้ทันทีทันใด เมื่อกระบวนการเรียนแต่ละตอนสิ้นสุดลง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Google Help > Blogger Help > Terms of Service